เบื้องหลังการสกัดทองคำกับนวัตกรรมระดับโลก สู่เส้นทางทองคำบริสุทธิ์

ทองคำ’ แร่ล้ำค่าที่อยู่คู่กับมนุษยชาติมานานนับพันปี ปัจจุบันถือเป็นสินทรัพย์ล้ำค่าที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ทั่วทุกมุมโลก แต่ทว่ากว่าจะได้มาซึ่งสินทรัพย์อันล้ำค่านี้ต้องผ่านกระบวนการสกัดอันซับซ้อน และต้องอาศัยทั้งเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม วันนี้เราจะพาไปเจาะลึก ‘เบื้องหลังการสกัดทองคำกับนวัตกรรมเหมืองแร่มาตรฐานสากล’ ณ เหมืองแร่ทองคำชาตรี ของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือที่คุ้นหูกันในนามเหมืองทองอัครา ที่ใช้นวัตกรรมทันสมัย เพื่อให้ได้มาซึ่งทองคำบริสุทธิ์อย่างยั่งยืน

จากสินแร่สู่ทองคำบริสุทธิ์ เส้นทางที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีขั้นสูง

หลายคนน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ “ไซยาไนด์” ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการสกัดทองคำ และอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่เหมืองแร่ทองคำชาตรี เราเข้าใจและตระหนักถึงความกังวลเหล่านี้ จึงให้ความสำคัญกับการควบคุมและจัดการสารเคมีอย่างปลอดภัย โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย ภายใต้การดูแลของนักธรณีวิทยา วิศกรเหมืองแร่และผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด

เปิดโลกนวัตกรรมและเทคโนโลยี หัวใจแห่งการขับเคลื่อนเหมืองแร่ทองคำชาตรี

เบื้องหลังการสกัดทองคำ สู่เส้นทางทองคำบริสุทธิ์

ที่เหมืองทองอัครา หัวใจสำคัญของการทำเหมืองแร่ทองคำอย่างยั่งยืน คือ “นวัตกรรมและเทคโนโลยี” เรามุ่งมั่นพัฒนาและปรับปรุงแนวทางการทำเหมืองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ จึงได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากลมาใช้ในการดำเนินงาน เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการผลิตของเรามีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหมืองแร่ที่เรานำมาใช้มีดังนี้

1. โดรน LiDAR เทคโนโลยี 3 มิติ เปลี่ยนโฉมการสำรวจเหมือง

ISOtainer เป็นระบบผสมไซยาไนด์อัตโนมัติ

ก่อนเริ่มขุดเจาะ เราต้องรู้จักพื้นที่ให้ดีที่สุด อัคราจึงใช้เทคโนโลยี LiDAR (Light Detection and Ranging) ที่ติดตั้งบนโดรนซึ่งเปรียบเสมือน ‘ตาวิเศษ’ ที่จะปล่อยคลื่นอินฟราเรดลงสู่พื้นดินเพื่อวัดระยะเวลาที่แสงสะท้อนกลับมา ในการคำนวณหาระยะทาง นำมาสร้างเป็นภาพ 3 มิติของพื้นที่ที่มีความละเอียดสูง 

ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างแม่นยำแม้ในพื้นที่ป่ารกทึบ แสงน้อย หรือมีภูมิประเทศซับซ้อน ช่วยให้นักธรณีวิทยาวางแผนการทำเหมืองได้อย่างละเอียด ระบุตำแหน่งและประเมินปริมาณแหล่งแร่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังใช้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่เหมือง (เช่น การทรุดตัว / พังทลายของดิน) ลดการขุดเจาะที่ไม่จำเป็น ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และวางแผนฟื้นฟูพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. บ่อกักเก็บหางแร่ (TSF) ระบบปิด ป้องกันการรั่วไหล (Zero Leakage)

บ่อกักเก็บหางแร่ (TSF) ระบบปิด ป้องกันการรั่วไหล (Zero Leakage)

อัคราให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของบ่อกักเก็บกากแร่ (TSF) โดยออกแบบให้เป็นระบบปิด ป้องกันการรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม (Zero Leakage) โดยบ่อกักเก็บหางแร่ของเราได้รับการออกแบบ ควบคุมการก่อสร้าง และตรวจสอบโดย Knight Piésold บริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมชั้นนำระดับโลก

การก่อสร้างเริ่มต้นตั้งแต่การปรับหน้าดิน กำจัดรากไม้และลอกหน้าดินออกจนถึงหน้าดินแข็ง จากนั้นบดอัดดินเหนียวและดินลูกรังที่มีความสามารถในการซึมผ่านต่ำให้ทั่วพื้นที่บ่อ แล้วจึงปูพื้นและผนังของบ่อด้วยแผ่น HDPE Geomembrane แผ่นพลาสติกชนิดพิเศษที่มีความหนาแน่นสูง เหนียว ทนทานต่อสารเคมีและป้องกันการรั่วซึมได้อย่างดีเยี่ยม และวางระบบระบายน้ำและถมดินทับ พร้อมทำคันดินจากดินเหนียวที่เสริมด้วยหิน ซึ่งทุกขั้นตอนออกแบบและควบคุมโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด

3. น้ำทุกหยด… หมุนเวียนไม่สิ้นสุด

การบำบัดน้ำ

น้ำในบ่อกักเก็บหางแร่ของอัคราไม่ได้ถูกปล่อยทิ้งไว้ แต่หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ 100% ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่าและช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง

โดยหางแร่จากกระบวนการผลิตจะยังมีไซยาไนด์หลงเหลืออยู่และจะถูกส่งไปบำบัดในถังชะล้างไซยาไนด์ ซึ่งจะลดความเข้มข้นของไซยาไนด์ลงให้มีปริมาณน้อยกว่า 20 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ตามข้อกำหนด โดยเทียบเท่าใกล้เคียงกับปริมาณไซยาไนด์ในหน่อไม้ กาแฟ หรือเกลือ ก่อนจะถูกลำเลียงผ่านท่อไปยังบ่อกักเก็บหางแร่ ไซยาไนด์ที่หลงเหลืออยู่ในบ่อกักเก็บหางแร่จะแตกตัวและระเหยไปเมื่อสัมผัสกับแสงแดดและออกซิเจน สุดท้ายน้ำที่ผ่านการบำบัดจะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการผลิต 

ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำดิบได้มากถึง 307,679 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน เรียกได้ว่าเป็นการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ได้อีกด้วย 

4. นวัตกรรมระเบิดแบบหน่วงเวลา ลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม

นวัตกรรมระเบิดแบบหน่วงเวลา

อัคราใช้เทคนิคการระเบิดแบบหน่วงเวลา มาใช้ในการทำเหมือง เพื่อช่วยลดแรงสั่นสะเทือน เสียง และฝุ่นละอองที่อาจเกิดขึ้นจากกระบวนการทำเหมือง ให้อยู่ในระดับปลอดภัยตามมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ อัครายังได้ติดตั้งเครื่องวัดระดับเสียงรอบโครงการ 9 จุด โดยระดับเสียงเฉลี่ยอยู่ที่ 50 เดซิเบล ซึ่งเป็นไปตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนด และติดตั้งเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนไว้ในหมู่บ้านใกล้เคียง 7 แห่ง โดยผลการประเมินแรงสั่นสะเทือนอยู่ในเกณฑ์ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์กำหนด รวมถึงมีการตรวจวัดคุณภาพอากาศและฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ 

5. ISOtainer ระบบจัดการไซยาไนด์อัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย

ISOtainer ระบบจัดการไซยาไนด์อัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย

ในการสกัดทองคำ ไซยาไนด์เป็นสารเคมีที่มีบทบาทสำคัญ แต่ก็เป็นสารที่ต้องได้รับการจัดการอย่างระมัดระวังสูงสุด อัคราจึงนำระบบ ISOtainer มาใช้เพื่อควบคุมการผสมและใช้งานไซยาไนด์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบนี้ทำงานในรูปแบบ Closed-loop system หรือระบบปิด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลและป้องกันการสัมผัสสารเคมีโดยตรงของพนักงาน

ISOtainer เป็นระบบผสมไซยาไนด์อัตโนมัติควบคุมอัตราส่วนการผสมไซยาไนด์กับน้ำตามที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำ ทำให้ได้สารละลายไซยาไนด์ที่มีความเข้มข้นสม่ำเสมอพร้อมใช้งาน จากนั้นสารละลายนี้จะถูกส่งไปยังกระบวนการสกัดทองคำโดยตรง อีกทั้งการใช้ ISOtainer ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขนย้าย ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสสารเคมีโดยตรงของพนักงาน ลดโอกาสในการรั่วไหล หรือสัมผัสโดยไม่จำเป็น 

มากกว่าเทคโนโลยีคือความรับผิดชอบ นวัตกรรมเหมืองทองที่อัคราจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่คือความรับผิดชอบที่ฝังอยู่ในทุกขั้นตอนการดำเนินงาน เรามุ่งมั่นที่จะเป็นเหมืองแร่ที่ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน 

และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของเบื้องหลังเส้นทางสู่ทองคำบริสุทธิ์ของเหมืองทองอัครา ที่พร้อมพิสูจน์ว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่และการดูแลสิ่งแวดล้อม สามารถเดินเคียงคู่กันไปได้ด้วยนวัตกรรมเหมืองทองที่ทันสมัย ภายใต้ความรับผิดชอบต่อสังคมและความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน 

คาร์บอนเครดิต โครงการพลิกวิกฤต “โลกร้อน” สู่โลกที่สดใสอย่างยั่งยืน

เราทุกคนรู้กันดีว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งปัจจุบันทุกภาคส่วนต่างกำลังแสวงหาแนวทางจัดการปัญหานี้อย่างยั่งยืน หนึ่งในนั้นคือโครงการ “คาร์บอนเครดิต” ซึ่งเป็นโครงการที่กำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางทั้งจากภาคองค์กรและบุคคลทั่วไปทั่วโลก สำหรับใครที่สงสัยว่าคาร์บอนเครดิตคืออะไร มีโครงการอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง และใครบ้างที่จะได้รับประโยชน์จากกลไกนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับเรื่องราวของคาร์บอนเครดิตกัน 

คาร์บอนเครดิตคืออะไร สำคัญอย่างไร ?

ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ การหายไปของผืนป่าจากการตัดไม้ หรือควันจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรม คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ที่เราคุ้นเคยกันดีว่าเป็นตัวการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้น ดังนั้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ในภาคส่วนต่าง ๆ หลายองค์กรจึงนำกลไกที่เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit)” มาปรับใช้ ซึ่งเปรียบเสมือนตลาดที่เปิดโอกาสให้องค์กร หรือโครงการต่าง ๆ สามารถ ‘ซื้อ’ สิทธิ์ในการปล่อยก๊าซ หรือ ‘ขาย’ เครดิตที่ได้จากการลดหรือกักเก็บคาร์บอนของตนเองได้ โดยแนวคิดนี้มักดำเนินควบคู่ไปกับการประเมินผลกระทบ เช่น โครงการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization) และของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product) รวมถึงโครงการที่สร้างเครดิตได้โดยตรงอย่าง โครงการป่าชุมชนเพื่อคาร์บอนเครดิต 

คาร์บอนเครดิตคืออะไร สำคัญอย่างไร

ซึ่งแนวคิดนี้เกิดขึ้นจากความพยายามในการแก้ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้ข้อตกลงนานาชาติ เช่น พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ในปี 1997 ที่กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเปิดโอกาสให้ใช้กลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิต รวมถึงข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ในปี 2015 ที่มุ่งเน้นให้ทุกประเทสมีส่วนร่วมในการลดคาร์บอน โดยสามารถใช้คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือในการชดเชยการปล่อยก๊าซ

เรียกได้ว่าคาร์บอนเครดิตมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นกลไกที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการสร้างมูลค่าให้กับการลดมลพิษ และช่วยให้ประเทศ หรือองค์กรต่าง ๆ สามารถบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนที่ตั้งไว้ได้อีกด้วย

โครงการคาร์บอนเครดิต ใคร “ได้” ใคร “เสีย” บ้าง ? 

สำหรับโครงการคาร์บอนเครดิตนี้ แม้จะเป็นโครงการที่ดีต่อโลกของเรา แต่ก็มีทั้งกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์และเสียผลประโยชน์อยู่ ดังนี้

ใคร “ได้” (ประโยชน์ที่ได้รับ)องค์กร หรือโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซฯ เช่น กลุ่มพลังงานทดแทน หรือโครงการปลูกป่า เป็นต้น จะได้รับรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต ประเทศกำลังพัฒนา สามารถสร้างรายได้จากการดำเนินโครงการลดก๊าซฯ ภายใต้กลไกข้อตกลงระหว่างประเทศองค์กรที่ต้องการชดเชยคาร์บอน สามารถซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซฯ ของตนเอง เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน
ใคร “เสีย” (ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น)องค์กรที่ปล่อยก๊าซฯ สูง อาจมีต้นทุนเพิ่มขึ้นหากต้องซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยส่วนที่เกินกำหนด หรือต้องลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดอุตสาหกรรมที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน เป็นต้นธุรกิจขนาดเล็ก อาจไม่สามารถลงทุนในโครงการคาร์บอนเครดิตได้ ทำให้เสียเปรียบในการแข่งขันเมื่อเทียบกับบริษัทใหญ่

ทำอย่างไรถึงจะได้ “คาร์บอนเครดิต” ?

การที่จะได้รับคาร์บอนเครดิตนั้น จะต้องดำเนินโครงการที่สามารถสร้างเครดิตในการลดหรือกักเก็บคาร์บอน หรือก๊าซเรือนกระจกได้อย่างชัดเจนและตรวจสอบได้ ซึ่งเรามีตัวอย่างโครงการมาให้ โดยบุคคลทั่วไปหรือแม้กระทั่งองค์กรต่าง ๆ สามารถนำไปปรับใช้ได้ ดังนี้

โครงการคาร์บอนเครดิต
  • กลุ่มพลังงานทดแทน
    • องค์กร: ติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ เพื่อทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
    • คนทั่วไป: ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง
  • การอนุรักษ์พลังงาน
    • องค์กร: เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงานในสำนักงานและโรงงาน ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ใช้พลังงานน้อยลง
    • คนทั่วไป: เปลี่ยนไปใช้หลอดไฟ LED เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 ปั่นจักรยาน หรือใช้ขนส่งสาธารณะแทนรถยนต์ส่วนตัวในบางโอกาส
  • การจัดการของเสีย
    • องค์กร: นำก๊าซชีวภาพจากขยะมาผลิตไฟฟ้า ลดการปล่อยก๊าซมีเทน นำขยะไปผลิตเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะที่จะถูกนำไปฝังกลบและทำให้เกิดก๊าซมีเทน
    • คนทั่วไป: คัดแยกขยะรีไซเคิล ทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารเพื่อลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบและลดการปล่อยก๊าซมีเทน
  • การปลูกป่าและฟื้นฟูระบบนิเวศ
    • องค์กร: สนับสนุนหรือดำเนินโครงการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่เหมาะสม รวมทั้งสนับสนุนแหล่งเพาะพันธุ์ต้นกล้าต่าง ๆ 
    • คนทั่วไป: สร้างพื้นที่สีเขียวในบ้าน หรือชุมชน 

เหมืองทองอัครา ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสู่ความยั่งยืน 

ถึงแม้จะยังไม่มีโครงการคาร์บอนเครดิตโดยตรง เหมืองทองอัครา ยังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เรามีโครงการและแนวทางปฏิบัติมากมายที่ช่วยลด หรือดูดซับก๊าซเรือนกระจกและแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ที่ช่วยลดผลกระทบและดูแลโลก ได้แก่

  • โครงการปลูกไม้ 1 ล้านต้นกับคนเหมือง: ที่เราตั้งเป้าปลูกต้นไม้ 1,000,000 ต้น เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวและช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก
  • พลังงานสะอาด: ส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ในการดำเนินงาน
  • Solar Rooftop: ที่อาคารสำนักงานอัคราเพื่อชุมชนและสำนักงานสำรวจ เราได้มีติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดไว้ใช้ภายใน ที่จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าในระยะยาว ลดปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้า และลดสภาวะการเกิดก๊าซเรือนกระจกในทางอ้อมได้
  • การจัดการของเสีย: มีระบบจัดการขยะและชีวมวลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการเกิดการก๊าซมีเทน
  • วางแผนการทำเหมือง: ออกแบบและจัดการการทำเหมืองที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการ

จากความมุ่งมั่นที่ต่อยอดด้วยการลงมือทำ นำไปสู่การได้รับใบรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว รางวัลสถานประกอบการที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐาน (CSR-DPIM) ประจำปี 2567 จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เป็นเครื่องยืนยันถึงที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องของเราทุกคน และแนวคิดโครงการคาร์บอนเครดิตก็เรียกว่าเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ หรือประชาชนทั่วไป ต่างก็มีบทบาทในการสร้างและใช้ประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตได้ มาร่วมกันสร้างโลกที่ยั่งยืนด้วยการทำความเข้าใจและสนับสนุนกลไกคาร์บอนเครดิตกัน

อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกับภารกิจสีเขียว เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติรอบเหมืองทองคำกับอัคราฯ

แสงแดดที่สาดส่องไม่ได้มีเพียงประกายของทองคำที่สะท้อนกลับ แต่ยังฉายให้เห็นถึงความเขียวขจีของผืนป่าที่กำลังเติบโต ณ เหมืองแร่ทองคำชาตรี ที่บริษัทอัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เราไม่ได้มองแค่การขุดทรัพยากรเพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เราให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ฟื้นฟูและส่งเสริมระบบนิเวศที่สมบูรณ์และยั่งยืน เพราะเราเชื่อว่าการคืนสมดุลให้กับธรรมชาติคือความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถดำเนินควบคู่ไปกับการทำเหมืองแร่และพัฒนาอุตสาหกรรมได้ 

เมื่อการสำรวจแร่สิ้นสุด… การฟื้นฟูพื้นที่ก็เริ่มต้นขึ้น ร่วมติดตามแนวทางการฟื้นฟูพื้นที่หลังการขุดเจาะสำรวจแร่กับภารกิจสีเขียวของอัครา ที่คืนชีวิตให้ธรรมชาติและสร้างคุณค่าให้ชุมชนอย่างยั่งยืนได้ที่นี่

จากผืนดินที่ถูกขุดเจาะ สู่ข้อมูลธรณีวิทยาอันล้ำค่า 

ทุกครั้งที่เครื่องจักรเจาะลงไปใต้ผืนดินไม่ใช่เพียงแค่การค้นหาแร่ทองคำ แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่ขุมทรัพย์แห่งข้อมูลทางธรณีวิทยาอันล้ำค่าที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย อัคราตระหนักดีว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติของบริษัทฯ แต่เป็นสมบัติของแผ่นดินที่ควรจะแบ่งปันให้กับชุมชน ก่อนเริ่มการขุดเจาะเพื่อสำรวจแร่นั้น เราจะดำเนินการขออนุญาตตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง เริ่มจากการขออนุญาตอาชญาบัตรพิเศษจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ รวมถึงได้รับความยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและหน่วยงานในท้องที่นั้น ๆ อย่างครบถ้วนเสียก่อน จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการขุดเจาะสำรวจ

อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกับภารกิจสีเขียว เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติรอบเหมืองทองคำกับอัคราฯ

โดยปกติแล้วการสำรวจจากด้านบนหรือผิวดิน เราจะได้ข้อมูลทางธรณีวิทยาเพียงแค่ความกว้างและยาว แต่การขุดเจาะจะเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกอีกมิตินั่นก็คือความลึก ซึ่งข้อมูลจากการขุดเจาะนี้จะถูกนำมาวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อศึกษาองค์ประกอบของแร่ธาตุต่าง ๆ ในดิน ที่นอกจากการนำไปใช้กับภาคอุตสาหกรรมเองแล้ว ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อภาคการเกษตรด้วย เพราะช่วยให้เกษตรกรเข้าใจสภาพดินในบริเวณของตนเองและใกล้เคียงได้มากขึ้น สามารถเลือกใช้ปุ๋ยและวิธีปรับปรุงคุณภาพดินได้อย่างเหมาะสม นำไปสู่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ ข้อมูลจากการขุดเจาะสำรวจแร่ยังสามารถนำไปใช้ในการสำรวจ และพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่และสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน โดยอัคราพร้อมแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน 

พลิกฟื้นผืนดิน คืนชีวิตให้ป่า กับโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจากอัครา “ปลูกไม้ 1 ล้านต้นกับคนเหมือง”

ฟื้นฟูพื้นที่สำรวจแร่ (with TH sub)

เพราะอัคราเชื่อว่าหนึ่งในการให้ที่ดีที่สุด คือการคืนชีวิตให้กับธรรมชาติ เราจึงริเริ่มโครงการ “ปลูกไม้ 1 ล้านต้นกับคนเหมือง” ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพลิกฟื้นผืนดิน คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับป่าและสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน โครงการนี้ไม่ใช่แค่การคืนพื้นที่สีเขียวและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพจากการสำรวจแร่ แต่คือการ ‘สร้างป่า’ โดยร่วมมือกับสถานีเพาะชำกล้าไม้จังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ (ภายใต้การดูแลของกรมป่าไม้) ในการสนับสนุนงบประมาณในการเพาะกล้าไม้และแจกจ่ายให้กับหน่วยงาน องค์กร และประชาชนทั่วไปที่สนใจจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจสีเขียวนี้

ซึ่งอัคราตั้งเป้าที่จะสนับสนุนการเพาะกล้าไม้รวมทั้งสิ้น 1 ล้านต้น โดยจะเน้นพันธุ์ไม้ท้องถิ่นที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เช่น พะยูง สัก ประดู่ พะยอม ไผ่ มะขามป้อม มะค่าโมง พฤกษ์ ต้นรัง ยางนาและหว้า เพื่อให้มั่นใจว่าต้นไม้ทุกต้นจะเติบโตแข็งแรงและเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าได้อย่างยั่งยืน

และถึงแม้ว่าเป้าหมาย 1 ล้านต้น อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ แต่อัคราเชื่อมั่นในพลังแห่งความร่วมมือ เราเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการได้ เพียงนำบัตรประชาชนและสำเนาโฉนดที่ดินมายื่นที่สถานีเพาะชำกล้าไม้ ก็สามารถขอรับกล้าไม้ไปปลูกในพื้นที่ของตนเองได้ทันที

ปลูกไม้ 1 ล้านต้นกับคนเหมือง
ปลูกต้นไม้ อนุรัหษ์สิ่งแวดล้อม
การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพัฒนาชุมชน
การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพัฒนาชุมชนของอัครา

ความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพัฒนาชุมชนของอัครา ได้รับการยอมรับในระดับประเทศกับรางวัลสถานประกอบการที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐาน (CSR-DPIM) ประจำปี 2567 จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ซึ่งเป็นเครื่องการันตีว่า การทำเพื่อสังคมผ่านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและส่งเสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถดำเนินควบคู่ไปกับการทำเหมืองแร่ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปลูกป่าทดแทน แต่คือการ ‘สร้างสมดุล’ ระหว่างการใช้ทรัพยากรและการดูแลรักษา เพื่อให้ ‘คน ป่า และเหมืองแร่’ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

อัครา สำรวจอย่างรู้คุณค่า เดินหน้า “สร้าง” อนาคตที่ยั่งยืนแก่ธุรกิจ ชุมชน และโลกของเรา 

เพราะแร่ทองคำคือจุดเริ่ม ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความรับผิดชอบ

ทำความรู้จักระบบบำบัดน้ำเสีย สู่การหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่อย่างยั่งยืน

น้ำ คือ ทรัพยากรธรรมชาติสำคัญที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิต ทั้งการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันไปจนถึงการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่เมื่อน้ำถูกใช้งานแล้ว สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ‘น้ำเสีย’ ซึ่งมักปนเปื้อนด้วยสารอินทรีย์  สารเคมี และสิ่งเจือปนอื่น ๆ หากปล่อยทิ้งโดยไม่มีการบำบัดน้ำที่เหมาะสมก่อน น้ำเสียนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหามลพิษ ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ สุขภาพของมนุษย์และคุณภาพแหล่งน้ำในระยะยาว 

แล้วเราจะจัดการกับน้ำเสียอย่างไร ? บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสียโดยทั่วไปว่ามีวิธีการอย่างไรบ้าง พร้อมนำเสนอแนวทางการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่ยึดถือมาตรฐานสากลและแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งผลให้อัคราสามารถจัดการทรัพยากรน้ำทุกหยดได้อย่างคุ้มค่าและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 

น้ำเสียมาจากไหน ? ทำไมต้องบำบัดน้ำเสีย ?

น้ำเสีย (Wastewater) คือ น้ำที่ผ่านการใช้งานแล้วและมีสิ่งปนเปื้อน จนไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ทันที โดยแหล่งกำเนิดของน้ำเสียสามารถจำแนกได้เป็นหลายประเภท เช่น

  • น้ำเสียชุมชน: เกิดจากบ้านเรือน อาคาร ร้านค้า โดยมักเป็นน้ำจากการอาบน้ำ ซักล้าง ทำอาหาร หรือขับถ่าย เป็นต้น
  • น้ำเสียอุตสาหกรรม: เกิดจากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การล้างอุปกรณ์ การหล่อเย็น หรือการผลิตสินค้า เป็นต้น
  • น้ำเสียเกษตรกรรม: มาจากการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งอาจปนเปื้อนด้วยปุ๋ย ยาฆ่าแมลง หรือมูลสัตว์

หากน้ำเสียไม่ได้รับการบำบัดอย่างเหมาะสมก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพของมนุษย์และสัตว์ รวมถึงคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบ โดยผลกระทบจากน้ำเสียมีหลายด้าน ดังนี้

  • แหล่งน้ำขาดออกซิเจน สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอยู่รอดได้
    สารอินทรีย์ในน้ำเสียจะถูกจุลินทรีย์ย่อยสลาย โดยกระบวนการนี้ต้องใช้ออกซิเจนในน้ำ เมื่อออกซิเจนหมดลง น้ำจะส่งกลิ่นเหม็นและสิ่งมีชีวิตในน้ำไม่สามารถอยู่รอดได้ 
  • แหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค น้ำที่เน่าเสียสามารถกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคชั้นดี ซึ่งทำให้เกิดโรคระบาดได้
  • สารปนเปื้อนตกค้างในแหล่งน้ำและห่วงโซ่อาหาร สารปนเปื้อนตกค้างในน้ำเสียอาจไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ และสะสมในพืชน้ำ สัตว์น้ำ หรือเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ซึ่งอาจกระทบต่อสุขภาพของทั้งคนและสัตว์ในระยะยาว 
  • ทำลายทัศนียภาพ แหล่งน้ำที่เน่าเสียไม่เพียงแต่ดูไม่น่ามอง แต่ยังส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ ส่งผลต่อแหล่งท่องเที่ยว พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ หรือเส้นทางคมนาคมทางน้ำ

เส้นทางสู่สายน้ำสะอาด กระบวนการบำบัดน้ำเสียเป็นอย่างไร

การบำบัดน้ำเสียเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยให้สามารถนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างปลอดภัย โดยทั่วไประบบบำบัดน้ำเสียแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่

1. บำบัดขั้นต้น (Primary Treatment) กำจัดของแข็งและสิ่งที่ไม่ละลายน้ำ

ขั้นตอนแรกของการบำบัดน้ำเสียมุ่งเน้นที่การแยกสิ่งสกปรกขนาดใหญ่และอนุภาคที่ไม่ละลายน้ำออกจากน้ำเสีย เช่น เศษขยะ เศษไม้ ใบไม้ และทราย โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ได้แก่

  • ตะแกรงดักขยะ: สำหรับแยกของแข็งขนาดใหญ่ออกจากน้ำเสีย
  • การตกตะกอน: ให้น้ำไหลผ่านถังตกตะกอนช้า ๆ เพื่อให้ตะกอนที่หนักกว่าน้ำจมลง
  • ถังดักไขมัน: สำหรับแยกไขมันและน้ำมัน (หากมี) ออกจากน้ำ 

2. บำบัดขั้นที่สอง (Secondary Treatment) กำจัดสิ่งสกปรกที่ละลายในน้ำ

หลังจากผ่านการบำบัดน้ำเสียขั้นต้นมาแล้ว น้ำเสียยังคงมีของแข็งแขวนลอยขนาดเล็กและสารอินทรีย์ทั้งที่ละลายและไม่ละลายในน้ำเหลือค้างอยู่ การบำบัดขั้นที่สองจึงต้องใช้การบำบัดทางชีวภาพเข้ามาช่วย โดยเน้นการใช้จุลินทรีย์ที่อยู่ในสภาวะควบคุมได้ (ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรีย) ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ หรือกินสารอินทรีย์ได้รวดเร็วกว่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตัวอย่างระบบที่นิยมใช้ เช่น

  • Activated Sludge (AS): ใช้ถังกวนที่มีจุลินทรีย์แขวนลอย
  • Trickling Filter (TF): ให้น้ำเสียไหลผ่านตัวกลางที่มีจุลินทรีย์เกาะอยู่
  • Rotating Biological Contactor (RBC): ใช้จานหมุนที่มีจุลินทรีย์เกาะอยู่
  • บ่อบำบัด: ใช้บ่อธรรมชาติ หรือบ่อที่สร้างขึ้น

จากนั้นน้ำที่ผ่านการบำบัดด้วยจุลินทรีย์แล้ว จะไหลเข้าสู่ถังตกตะกอนอีกครั้ง เพื่อแยกตะกอนจุลินทรีย์ (ตะกอนชีวภาพ) ออกจากน้ำ 

3. บำบัดขั้นสูง (Tertiary Treatment หรือ Advanced Treatment) กำจัดสิ่งที่เหลืออยู่ ปรับปรุงคุณภาพน้ำ

ขั้นตอนนี้จะเป็นการกำจัดสารอาหาร (ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส) สาหร่าย ไข่พยาธิ ตัวอ่อนสัตว์ซึ่งเป็นพาหะนําโรค สี สารแขวนลอยที่ตกตะกอนยาก สิ่งเจือปนซึ่งไม่สามารถถูกกำจัดได้ในกระบวนการบำบัดก่อนหน้านี้ เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดียิ่งขึ้นเพียงพอที่จะนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ได้ ซึ่งรวมถึง

  • กำจัดฟอสฟอรัส ซึ่งมีทั้งวิธีการที่ใช้เคมีและแบบชีวภาพ
    • วิธีเคมี: เติมสารเคมี (เช่น สารส้ม หรือเฟอร์ริกคลอไรด์) เพื่อให้ฟอสฟอรัสจับตัวกันและตกตะกอน
    • วิธีชีวภาพ: ใช้จุลินทรีย์พิเศษที่ดูดซับฟอสฟอรัสได้มาก ในระบบที่สลับระหว่างสภาวะ “มีอากาศ” และ “ไม่มีอากาศ” 
  • กำจัดไนโตรเจน โดยมีทั้งการใช้เคมี แต่ไม่นิยมใช้ และวิธีการชีวภาพที่สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้
  • Nitrification: เติมออกซิเจนในน้ำเสีย เพื่อให้จุลินทรีย์เปลี่ยนแอมโมเนียที่เป็นพิษต่อสัตว์น้ำ ให้กลายเป็นไนไตรต์และไนเตรตซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า
  • Denitrification: ตัดออกซิเจนในน้ำเสีย เพื่อให้จุลินทรีย์เปลี่ยนไนเตรต ซึ่งยังคงอยู่ในน้ำเสีย ให้กลายเป็นก๊าซไนโตรเจนที่ไม่มีพิษและระเหยออกสู่บรรยากาศ 
  • กำจัดทั้งฟอสฟอรัสและไนโตรเจนร่วมกันโดยกระบวนการทางชีวภาพ: เป็นระบบที่ใช้สภาวะมีอากาศและไม่มีอากาศสลับกัน เพื่อให้จุลินทรีย์ทำหน้าที่ย่อยสลายทั้งไนโตรเจนและฟอสฟอรัสไปพร้อม ๆ กัน โดยต้องมีการควบคุมสภาพแวดล้อมอย่างแม่นยำ ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการออกแบบและควบคุมการทำงาน
  • กรอง: เป็นการใช้ตัวกลางในการกรอง เช่น ทราย กรวด หรือ Membrane (เช่น Ultrafiltration) กรองสิ่งสกปรกขนาดเล็ก หรือสารแขวนลอยที่ตกตะกอนยาก ทำให้น้ำใสขึ้น
  • ดูดซับ: มักจะใช้ถ่านกัมมันต์ (Activated Carbon) ที่มีรูพรุนสูง ดูดซับสารอินทรีย์ สารเคมี สี และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกจากน้ำ

เทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียมาตรฐานสากล ที่เหมืองทองอัครา 

บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการน้ำเสียอย่างมีความรับผิดชอบ และมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่เหมืองทองอัคราเราจึงนำระบบการบำบัดน้ำเสียมาตรฐานสากลมาใช้ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

  • Zero Discharge: หัวใจสำคัญ คือ ‘ไม่มีการปล่อยน้ำออกนอกพื้นที่’ (Nil-release) น้ำจากกระบวนการผลิต รวมถึงจากบ่อกักเก็บหางแร่ จะถูกนำมาหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ 100%
  • Zero Leakage: มั่นใจได้ในความปลอดภัยสูงสุดของบ่อกักเก็บหางแร่ ที่ได้รับการออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานวิศวกรรมสากล ปูพื้นบ่อด้วยแผ่น HDPE ที่มีความทนทานสูง พร้อมระบบระบายน้ำใต้ดินและระบบตรวจสอบที่ทันสมัยเพื่อป้องกันการรั่วซึมอย่างมีประสิทธิภาพ
  • กระบวนการผลิตแบบ Closed Lock: ควบคุมการใช้สารเคมีภายในกระบวนการผลิตอย่างรัดกุม ป้องกันการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม 
  • Water Recycling: มีการติดตั้งหอระบายน้ำไว้กลางบ่อกักเก็บหางแร่ เพื่อสูบน้ำที่ผ่านการรีไซเคิลแล้วกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการผลิต ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำดิบได้ถึง 307,679 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน ทำให้ลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่โดยรอบได้อีกด้วย

มากกว่าเทคโนโลยีคือความรับผิดชอบ… ที่เหมืองทองอัครา การดำเนินงานไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การสกัดแร่ทองคำ แต่ยังครอบคลุมถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างการบำบัดน้ำเสีย โดยนำน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัด รีไซเคิลให้กลับมาใช้ใหม่ภายในโรงงาน เพื่อลดการใช้น้ำดิบและบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำทั้งในเหมืองและในพื้นที่โดยรอบมีคุณภาพตามมาตรฐาน

‘การบำบัดน้ำเสีย’ อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวที่เราได้หยิบมาฝากทุกคน เพราะ ‘น้ำ’ คือทรัพยากรจากธรรมชาติอันล้ำค่า นอกจากการรู้คุณค่าและใช้อย่างประหยัดซึ่งเป็นความรับผิดชอบที่เราทุกคนมีต่อโลกใบนี้แล้ว การบริหารจัดการน้ำก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน 

‘การบำบัดน้ำเสีย’ อย่างมีประสิทธิภาพ คือหนึ่งในพันธกิจของเหมืองทองอัครา เรามุ่งมั่นใส่ใจและให้ความสำคัญในการจัดการน้ำเสียด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างรับผิดชอบ เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และสร้างความสมดุลให้แก่ระบบนิเวศในระยะยาว

แบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต ความรับผิดชอบต่อชุมชนจากอัครา ที่ส่งต่อถึงชุมชนรอบเหมือง

บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ไม่เพียงดำเนินธุรกิจเหมืองทองคำตามมาตรฐานสากล แต่ยังมุ่งมั่นเป็น ‘เพื่อนคู่คิด’ และ ‘ผู้ร่วมพัฒนา’ ชุมชนโดยรอบด้วยปณิธานอันแน่วแน่ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา เราได้จัดทำโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ มากมายที่มุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สุขภาพ การสร้างอาชีพ และการดูแลสิ่งแวดล้อมที่สะท้อนถึงการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล พร้อมดำเนินธุรกิจภายใต้หลักความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคมอย่างแท้จริง
ด้วยวิสัยทัศน์ด้าน การทำเหมืองทองคำอย่างรับผิดชอบ และ การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน อัครามุ่งมั่นดำเนินโครงการที่ช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนโดยรอบ พร้อมผลักดันแนวทางการทำเหมืองที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปสัมผัสกับส่วนหนึ่งของโครงการและกิจกรรมพัฒนาสังคม ซึ่งอัครามุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนเพื่อมอบให้ชุมชนและสังคมได้รับสิ่งดี ๆ อย่างยั่งยืน

แบ่งปันความสำเร็จสู่ชุมชน หลากหลายโครงการความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

เติมความรู้ สร้างอนาคต

อัคราเชื่อว่า “การศึกษา” คือรากฐานสำคัญของการพัฒนา จึงเปิดพื้นที่เหมืองให้เป็น “ห้องเรียนนอกตำรา” เปิดโอกาสให้เยาวชนและผู้ที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ สัมผัสประสบการณ์จริงและนำความรู้ไปต่อยอดพัฒนาตนเองและชุมชน โดยส่งบุคคลากรที่มากด้วยความสามารถมาเป็นผู้มอบความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับทุกคน

  • ครูเหมืองอาสา’ พลังแห่งการให้…จากใจชาวอัครา โครงการดี ๆ จากพนักงานอัคราที่เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ร่วมเป็น ‘ครูอาสา’ ถ่ายทอดความรู้เสริมทักษะภาษาอังกฤษให้เด็ก ๆ ในโรงเรียนรอบเหมือง ทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนบ้านคีรีเทพนิมิต, โรงเรียนไทยรัฐวิทยา, โรงเรียนบ้านทุ่งยาว, โรงเรียนบ้านวังขวัญและโรงเรียนบ้านวังชะนาง ด้วยการเข้าไปทำการสอนโรงเรียนละ 40 ชั่วโมง หรือเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งด้านภาษา หวังเปิดประตูสู่โลกกว้างให้เด็ก ๆ  
  • โครงการ “อัคราสานฝันปันปัญญา” บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้ สู่ต้นกล้าแห่งอนาคต มอบโอกาสให้เยาวชน อายุ 5-12 ปี ใน 28 หมู่บ้านรอบเหมือง ได้พัฒนาทักษะรอบด้านกับครูผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ในช่วงปิดเทอมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย  เพื่อเสริมสร้างจินตนาการ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และค้นพบศักยภาพในตนเองตั้งแต่วัยเยาว์
    • วิชาภาษาอังกฤษ 
    • วิชาภาษาจีน 
    • วิชาดนตรีไทย  
    • วิชาดนตรีสากล (อูคูเลเล่) 
    • วิชาศิลปะ 
    • วิชาศิลปะการป้องกันตัว (มวยไทย) 

ไม่เพียงเท่านั้น อัครายังเข้าไปช่วยปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาสภาพแวดล้อมของโรงเรียนให้มีความปลอดภัยและเหมาะสมกับการเรียนการสอน สนับสนุนบุคลากรทางการศึกษาให้ได้รับการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะเพิ่มเติม สนับสนุนสื่อการเรียนการสอนและเครื่องแต่งกาย รวมถึงการสนับสนุนโภชนาการที่ถูกหลักเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของนักเรียน นอกจากนี้ เรายังสนับสนุนโรงเรียนผู้สูงอายุ เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกวัยสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ไม่มีข้อจำกัด

สุขภาพดี ชีวีมีสุข

อัคราตระหนักดีว่า “สุขภาพที่ดี” คือต้นทุนชีวิตที่สำคัญสำหรับทุกวัย เราจึงมุ่งมั่นสร้างสรรค์โครงการที่ส่งเสริมสุขภาพของทุกคนในชุมชนรอบเหมืองอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทุกช่วงวัยตั้งแต่การสร้างเสริมสุขภาพขั้นพื้นฐานไปจนถึงการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ เพื่อต่อยอดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ส่งเสริมสุขภาพของทุกคนในชุมชนรอบเหมือง
  • โครงการ ‘เหมืองแร่ปลอดภัย ห่วงใยประชาชน’ เพราะสุขภาพที่ดีคือของขวัญล้ำค่า อัคราจึงดูแลประชาชนรอบเหมืองผ่าน กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ ที่อัครานำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ในอัตรา 3% ของค่าภาคหลวงแร่ เพื่อเป็นงบประมาณในการจัดมหกรรมตรวจสุขภาพประจำปี ฟรี! ให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง (เด็ก คนชรา สตรีมีครรภ์และผู้ป่วยเรื้อรังจากโรคไม่ติดต่อ) ที่อาศัยอยู่ในเขตรัศมี 5 กิโลเมตรจากพื้นที่เหมืองแร่ทองคำชาตรี การตรวจสุขภาพดำเนินการโดยทีมแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญจาก วรรณาคลินิกแล็บ พร้อมให้ความรู้การดูแลสุขภาพโดยบุคลากรจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ เพื่อสร้างความอุ่นใจและยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน
  • เติมสุข สร้างรอยยิ้ม กับโครงการ ‘สูงวัย ใจเป็นสุข ปลุกปัญญา’ อัคราร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร สนับสนุนกิจกรรมนันทนาการและการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกายและใจให้แก่ผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุ ต.ท้ายดง อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ เพื่อให้ผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุข และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างภาคภูมิ  
  • เติมเต็มหัวใจ สุขล้นทั้งผู้ให้และผู้รับ อัคราร่วมเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนชมรมผู้สูงอายุตำบลเขาเจ็ดลูก ในการแสดงความเคารพและห่วงใยต่อผู้สูงวัย โดยจัดกิจกรรมเยี่ยมเยียนและอวยพรผู้สูงวัยที่อายุมากที่สุดในแต่ละหมู่บ้าน ในตำบลเขาเจ็ดลูก พร้อมมอบถุงกำลังใจ… สื่อรักจากใจแทนความห่วงใย  

สร้างอาชีพ สร้างรายได้

อัคราร่วมสร้างวิถีแห่งการพึ่งพาตนเอง ที่มากกว่าการให้ ‘ปลา’ แต่ให้ ‘เบ็ด’ และสอน ‘วิธีตกปลา’ ด้วยการสนับสนุนและจัดทำโครงการความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคมต่าง ๆ เพื่อสร้างโอกาสทางอาชีพและรายได้ ผ่านการสนับสนุนทั้งด้านอุปกรณ์ องค์ความรู้และการตลาด เพื่อให้พวกเขาสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง มีรายได้ที่มั่นคงและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

  • เสริมพลังวิสาหกิจชุมชน กับอุตสาหกรรมดี อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน อัคราส่งเสริมความหลากหลายทางอาชีพ สนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนรอบเหมือง (จำนวน 12 กลุ่ม) ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิต การตลาด ไปจนถึงการบริหารจัดการ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้แก่ชุมชน อาทิ กลุ่มสมุนไพร ‘ไพรหอม’ กลุ่มตัดเย็บพรมเช็ดเท้า ‘พมทอง’ กลุ่มหัตถกรรมจากหญ้าแฝก กลุ่มจักสานไม้ไผ่ กลุ่มเลี้ยงสุกร กลุ่มทำพริกแกง ‘ครกทอง’ กลุ่มทอผ้า กลุ่มเย็บผ้าวนและกลุ่มน้ำดื่ม 
  • คลินิกเกษตร เพื่อนคู่คิดเกษตรกรไทย อัคราเข้าใจดีว่า เกษตรกรรมคือรากฐานของชุมชน เราจึงจัดตั้ง “คลินิกเกษตร” เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาดิน โดยเฉพาะปัญหาดินเปรี้ยวและดินขาดความอุดมสมบูรณ์ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญของอัคราลงพื้นที่สำรวจ วิเคราะห์ปัญหาดิน พร้อมให้คำปรึกษา แนะนำวิธีการปรับปรุงดินและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มผลผลิตและสร้างรายได้ที่มั่นคง 
  • จากค่าภาคหลวง… สู่การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน อัครามุ่งมั่นพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากโครงการที่ได้กล่าวถึง เรายังจัดสรรค่าภาคหลวงแร่และสมทบทุนเข้ากองทุนต่าง ๆ ได้แก่ กองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ และกองทุนประกันความเสี่ยง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์แก่ชุมชน โดยหนึ่งในโครงการที่ได้รับประโยชน์ คือ โครงการเลี้ยงกบและปลาดุก ที่บ้านใดน้ำขุ่น หมู่ 10 ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ซึ่งได้รับงบประมาณจาก ‘กองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่’ เพื่อสนับสนุนการเลี้ยงกบ 6,000 ตัว ปลาดุก 5,900 ตัว พร้อมอาหารและบ่อซีเมนต์ 120 วง สร้างรายได้เสริมให้แก่สมาชิกในชุมชนได้มากถึง 119 ครัวเรือน 

ไม่เพียงความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคมในด้านการส่งเสริมอาชีพเท่านั้น แต่เรายังให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาระบบสาธารณูปโภค ตรวจสอบและซ่อมบำรุงระบบประปาและไฟฟ้าหมู่บ้านในพื้นที่รอบเหมือง พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และเกษตรกรรม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้มีน้ำใช้เพียงพอตลอดทั้งปี

สร้างพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน

ก้าวข้ามขีดจำกัดของการทำเหมืองแร่ ด้วยการผสานแนวคิดการดูแลสิ่งแวดล้อมเข้ากับทุกกระบวนการดำเนินงาน          ที่อัคราเรามองถึงอนาคตของโลก จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม โครงการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว ลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ เพื่อมอบโลกที่น่าอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป

โครงการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว ลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ
  • อัครา Green Mission ปลูก คืน ผืนป่าให้โลก ที่อัคราฯ การพัฒนาอุตสาหกรรมสามารถดำเนินควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน เราจึงขยายความรับผิดชอบ นอกเหนือจากการทำเหมืองแร่ สู่การ ‘ปลูก’ อนาคตสีเขียว ผ่านโครงการ ‘ปลูกต้นไม้กับคนเหมือง’ ที่ร่วมมือกับสถานีเพาะชำกล้าไม้จังหวัดพิจิตรและจังหวัดเพชรบูรณ์ ผ่านการสนับสนุนงบประมาณและลงมือ ‘ปลูก’ เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผืนป่า ลดภาวะโลกร้อนและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน 
  • ร่วมพลังป้องกันผืนป่าจากไฟร้อน นอกจากการปลูกเพื่อเสริมและฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวแล้ว ในปี 2567 (เดือนมกราคม – พฤษภาคม) ที่ผ่านมา อัคราฯ ยังจัดทำแนวกันไฟในพื้นที่ป่าชุมชนถึง 10 แห่ง เพื่อช่วยรักษาผืนป่าและอนุรักษ์สัตว์ป่าให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์ โดยร่วมมือกับศูนย์ป่าไม้พิจิตร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดพิจิตร และป่าชุมชนในพื้นที่ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม สามารถช่วยป้องกันไฟป่าบนเนื้อที่ป่าชุมชนได้ถึง 2,723 ไร่ พิทักษ์รักษาต้นไม้ไว้ได้ประมาณ 544,600 ต้น รวมถึงได้ร่วมกันเก็บเศษใบไม้กว่า 8,100 กิโลกรัม เพื่อนำไปทำปุ๋ยหมักและใช้ประโยชน์ในการปลูกต้นไม้ช่วงฤดูฝนต่อไป 

ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทของอัครา ในการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม ทำให้เราได้รับรางวัลสถานประกอบการที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐาน (CSR-DPIM) ประจำปี 2567 จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รางวัลนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความตั้งใจของอัคราในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเหมืองแร่ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม

อัครา รีซอร์สเซส เพื่อชุมชน

ร่วมติดตามเรื่องราวดี ๆ และก้าวไปกับเรา 

อัครา รีซอร์สเซส เพื่อชุมชน เพื่อสังคม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

เราเชื่อว่าอนาคตที่ยั่งยืนเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือ เราจึงไม่เป็นเพียงแค่ผู้ประกอบการเหมืองแร่ แต่ยังเป็น ‘เพื่อน’ ที่พร้อมเติบโตเคียงข้างชุมชน มุ่งมั่นสร้างเหมืองแร่ต้นแบบ ที่ดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบ คำนึงถึงสมดุลของสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบ เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืน เคียงข้างชุมชนและสังคมไทยตลอดไป

อัคราต้อนรับนักวิ่งนับพัน เช็คอินบ่อเหมืองรูปหัวใจ สานพลังชุมชนเพื่อการกุศล

คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตอำเภอทับคล้อ (พชอ.) จับมือพันธมิตรภาคเอกชน นำโดย บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย บริษัท โลตัสฮอลวิศวกรรมเหมืองแร่และก่อสร้าง จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด นะราชา การโยธาและเหมืองแร่ และห้างหุ้นส่วนจำกัด ท้ายดง เอ็กเพรส จัดงานวิ่งการกุศล “ทับคล้อ รัน ฟอร์ ไลฟ์” ซีซั่น 2 ภายใต้แนวคิด “วิ่งชมพระอาทิตย์ตกดิน” ดึงดูดนักวิ่งด้วยจุดเช็คอิน “บ่อเหมืองรูปหัวใจ” แลนด์มาร์กสำคัญของ “เหมืองแร่ทองคำชาตรี” เพื่อนำรายได้จากการกิจกรรมช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ ผู้พิการ และผู้ประสบภัยไฟไหม้ในพื้นที่

นางสาวธนียา นัยพินิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร กล่าวระหว่างเปิดงานว่าจังหวัดพิจิตรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืนกิจกรรมในวันนี้มีเป้าหมายเพื่อนำรายได้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ ผู้พิการ และผู้ประสบภัยไฟไหม้ในอำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ทั้งนี้ จังหวัดได้ให้การสนับสนุนโครงการและกิจกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนมาโดยตลอด พร้อมเน้นย้ำบทบาทสำคัญของภาคเอกชนในการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนให้เติบโตควบคู่กับภาคธุรกิจ ในโอกาสนี้ ยังชื่นชมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่มีส่วนช่วยให้กิจกรรมครั้งนี้ประสบความสำเร็จ

ด้านนายสุเมธ เมธีรัตนาพิพัฒน์ นายอำเภอทับคล้อ เปิดเผยว่า พชอ. ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ได้ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน โดยนอกจากการสนับสนุนด้านงบประมาณแล้ว ยังร่วมกันปรับปรุงภูมิทัศน์ ทำความสะอาดพื้นที่ ติดตั้งไฟส่องสว่างเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และจัดเจ้าหน้าที่ดูแลตามจุดต่าง ๆ ตลอดเส้นทางวิ่ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน โดยกิจกรรมวิ่งการกุศลครั้งนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม มีผู้สมัครเข้าร่วมกว่า 1,200 คน โดยแบ่งเส้นทางวิ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 3.9 กิโลเมตร 5.9 กิโลเมตร และ 10.9 กิโลเมตร ไฮไลต์สำคัญของงานคือเส้นทางวิ่งผ่าน “บ่อเหมืองรูปหัวใจ” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ทางอำเภอต้องการส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอีกทางหนึ่ง

สำหรับ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ถือเป็นผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำแห่งเดียวในไทย จึงเป็นโอกาสอันดีที่ได้ต้อนรับประชาชนนับพัน ให้ได้ชมเห็นทัศนียภาพอันสวยงามของเหมือง สะท้อนถึงความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ ที่บริษัทฯ ยึดมั่นมาโดยตลอด โดย นางสาวยุวธิดา พุกอ่อน ผู้จัดการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์และการพัฒนา กล่าวว่ากิจกรรมในครั้งนี้ เป็นสิ่งยืนยันให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างบริษัทฯ และชุมชน ตอกย้ำแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลและสามัคคีและบริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตร และชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยมีเหมืองเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งวิสัยทัศน์นี้ยังขยายไปสู่ยังพันธมิตรของเหมือง ได้แก่ โลตัสฮอล นะราชา และท้ายดงเอ็กซ์เพรส ซึ่งล้วนให้ความสำคัญกับการจ้างงานคนในท้องถิ่นและมีส่วนร่วมในกิจกรรมพัฒนาชุมชนมาโดยตลอด

“วันนี้ นอกจากรางวัลกว่า 100 รางวัลที่อัครานำมาสนับสนุนแล้ว อัครายังเตรียมรางวัลพิเศษ ได้แก่ ทองคำแท้จากเหมืองไทย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเรา ที่สามารถผลิตทองคำคุณภาพโดยฝีมือคนไทย เพื่อคนไทย” นางสาวยุวธิดา กล่าวทิ้งท้าย

อัคราโอ่จ่ายค่าภาคหลวงแล้วพันล้าน หลังกลับมาเปิดไม่ถึง 2 ปี จับมือพีเอ็มอาร์ ออสสิริสตอกย้ำความสำคัญของอุตสาหกรรมทองคำ

กรุงเทพฯ (23 มกราคม 2568) — นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ม.ล.ปรมาภรณ์ เทวกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด และ นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารงาน บริษัท ออสสิริส จำกัด ร่วมอัพเดทภาพรวมอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำ ท่ามกลางความต้องการทองคำทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้น หวังภาครัฐตระหนักถึงความสำคัญของอุตสาหกรรม

นายเชิดศักดิ์ อรรถอาผู้จัดการทั่วไปฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) (“อัครา”) ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำชาตรี กล่าวถึงบทบาทการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายหลังที่อัครากลับมาเปิดดำเนินการว่า อัคราได้ใช้งบประมาณกว่า 2,600 ล้านบาทในการยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรมทั้ง 2 แห่ง รวมถึงอาคารสถานที่สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในเหมืองจนแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2567 ส่งผลให้สามารถเดินกำลังการผลิตได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา อัคราผลิตแร่ทองคำได้ประมาณ 50,000 ออนซ์ และแร่เงินกว่า 530,000 ออนซ์ และตั้งเป้าการผลิตทองในปี 2568 ไว้ที่ 80,000 – 90,000 ออนซ์ จากนั้นจะค่อย ๆ เพิ่มเป็น 95,000 – 120,000 ออนซ์ ในอีก 2-3 ปีต่อจากนี้

นางสาวศิวนาถ สอนราช ผู้จัดการฝ่ายงานอนุญาตของอัครา กล่าวเสริมว่า ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 22 เดือน นับตั้งแต่มีนาคม 2566 จนถึงมกราคม 2568 อัคราได้ชำระค่าภาคหลวงกว่า 1,000 ล้านบาท โดย 40% ของค่าภาคหลวงแร่จะถูกจัดสรรให้เป็นรายได้รัฐ อีก 50% ถูกจัดสรรให้แก่ชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินการทำเหมือง โดยแบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% องค์การบริหารส่วนตำบลที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% และองค์การบริหารส่วนตำบลภายในจังหวัดอีก 10% และส่วนสุดท้ายอีก 10% ที่เหลือจะถูกจัดสรรให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพขององค์กรท้องถิ่นในการดูแลประชาชนได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดงานและโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่จำนวนมาก นอกจากนี้ อัครายังจ่ายเงินบำรุงพิเศษ 5% โดยคำนวณจากค่าภาคหลวงแร่ ให้กับกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาวิจัยด้านแร่ ปรับสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองแล้ว ซึ่งยังไม่รวมเงินที่อัคราต้องจัดสรรเข้ากองทุนจำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ และกองทุนประกันความเสี่ยง ซึ่งบริษัทต้องนำเงินเข้ากองทุนในอัตรา 21% ของค่าภาคหลวงแร่ โดยต้องไม่น้อยกว่า 65 ล้านบาทต่อปี แต่อัคราได้จัดสรรเงินเข้ากองทุนเหล่านี้ไปแล้วประมาณ 207 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้มาก

ม.ล.ปรมาภรณ์ เทวกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด (“พีเอ็มอาร์”) ในฐานะผู้สกัดทองคำให้อัครา กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันพีเอ็มอาร์มีความสามารถสกัดทองคำให้มีความบริสุทธิ์ได้ที่ 99.99% โดยปริมาณแร่ทองคำและเงินที่ได้รับจากอัครา คิดเป็นสัดส่วน 30% ของกำลังการผลิตเท่านั้น ดังนั้น เราจึงพร้อมที่จะรองรับปริมาณการผลิตที่สูงขึ้นของอัคราในอนาคต ซึ่งทองที่สกัดออกมาที่ค่าความบริสุทธิ์ 99.99% ได้ถูกส่งต่อให้ออสสิริสแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าต่อไป

นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารงาน บริษัท ออสสิริส จำกัด (“ออสสิริส”) เล่าต่อว่า ทองที่สกัดจากพีเอ็มอาร์นั้น เรานำไปแปรรูปโดยช่างทองของออสสิริสใส่อัตลักษณ์ความเป็นไทยลงไปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ทองคำของไทยต่อไป ภายใต้วิสัยทัศน์ “ทองไทย เพื่อคนไทย” เพื่อส่งต่อ “คุณค่าไทย” ผ่านทองคำไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทย สู่สายตาโลก ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการจับมือกันระหว่าง 3 บริษัทเพื่อเชื่อมต่อสายการผลิตทองคำของไทย

ประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรจากการทำเหมืองทอง?

ม.ล.ปรมาภรณ์ อธิบายถึงบทบาทของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ว่า เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ทำให้เกิดวัตถุดิบที่จำเป็นในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งคมนาคม ระบบรถไฟทางคู่ ถ้าไม่มีการทำเหมืองหิน เพื่อใช้ทำซีเมนต์ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ก็คงไม่เกิด อุตสาหกรรมต้นน้ำจึงมีความสำคัญ เพราะเป็นผู้หาวัตถุดิบให้ พอมีวัตถุดิบ เราก็สามารถนำผู้เชี่ยวชาญมาคิดพัฒนาให้เกิดอุตสาหกรรมปลายน้ำต่าง ๆ ตามมา

นายบุญเลิศ กล่าวเสริมว่า ทองคำเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหรรมเครื่องประดับ และช่างทองไทยมีความโดดเด่นในการทำอัตลักษณ์เฉพาะตัว เพราะฉะนั้นเราสามารถนำทองที่หาได้ในประเทศ สกัด และเพิ่มมูลค่าเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก นำรายได้กลับเข้าประเทศ โดยการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2567 มีมูลค่า 16,924.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 คิดเป็นสัดส่วน 6.14% ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ซึ่งทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป คิดเป็นสัดส่วนถึง 49.12% ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม

นายเชิดศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐานเป็นกิจการที่มีภาพลักษณ์ในเชิงลบเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมประเภทอื่น โดยคนส่วนใหญ่มองว่าอุตสาหกรรมนี้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้กระแสสังคมมีความรู้สึกไม่ยอมรับ แต่ด้วยการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดผ่านมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ทางราชการกำหนด มีระบบตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและดูแลสุขภาพของคนในชุมชนที่มีประสิทธิภาพ และมีการศึกษาและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เช่น นวัตกรรมการควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์ การกักเก็บกากแร่โดยไม่มีการปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม บ่อกักเก็บกากแร่ที่มีระบบป้องกันการรั่วซึม ที่ได้การรับรองมาตรฐานระดับสากล การหมุนเวียนน้ำจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ซึ่งลดปริมาณการใช้น้ำถึง 307,000 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน นวัตกรรมการระเบิดที่ช่วยลดเสียง ลดฝุ่น เพื่อลดผลกระทบต่อธรรมชาติและชุมชนโดยรอบ เป็นต้น จึงมั่นใจได้ว่า การทำเหมืองดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม 

ล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน บริษัทฯ ได้สั่งแคปซูลสำเร็จรูปปิดผนึก หรือที่เรียกว่า “ไอโซเทนเนอร์” (isotainer) มาติดตั้งเพื่อใช้ในกระบวนการประกอบโลหกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการไซยาไนด์ ดังนี้

1.   ลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารเคมีของพนักงานที่ปฏิบัติงาน

2.   ควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์อย่างมีประสิทธิภาพ และ

3.   ไม่มีขยะที่เป็นบรรจุภัณฑ์เหลือทิ้ง โดยการส่งแคปซูลที่ใช้แล้วกลับไปยังผู้ผลิต

สำหรับคุณประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ อัคราคาดว่าจะป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยได้กว่า 4,100 ล้านบาทต่อปี ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ การจ้างงานทั้งทางตรงและผ่านผู้รับเหมาในพื้นที่ประมาณ 1,000 คน และการชำระค่าภาคหลวงแร่ให้แก่รัฐ

คุณเชิดศักดิ์ย้ำว่า “แค่ค่าภาคหลวงที่อัคราจ่ายตั้งแต่กลับมาเปิดดำเนินการภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปีเต็ม ยังมีมูลค่านับพันล้าน ซึ่งยังไม่รวมตัวเลขด้านการจ้างงานทั้งของอัคราโดยตรง หรือในส่วนของผู้รับเหมา หรือบริษัทคู่ค้าอย่างพีเอ็มอาร์ และออสสิริส ดังนั้น หากรัฐบาลให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำ เชื่อว่าผลประโยชน์จะยิ่งทวีคูณ ในขณะเดียวกัน โอกาสในการมีเหมืองแร่ทองคำเพิ่มก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ภาครัฐต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนผ่านการกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศบนพื้นฐานของทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดอยู่ร่วมกัน และกำหนดแผนการพัฒนาตามศักยภาพที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่”

นอกจากคุณประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ยังก่อให้เกิดคุณประโยชน์ด้านสังคมที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ โดยอัคราและพันธมิตรมีการจ้างงานคนในพื้นที่กว่า 1,000 คน และตั้งเป้าให้ 90% เป็นคนในชุมชน เพื่อลดปัญหาการย้ายถิ่นฐาน สร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัว นอกจากเค้าจะมีงานทำใกล้บ้านกันได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว อัครายังดูแลความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างรอบด้าน ในปีที่ผ่านมา อัคราได้จัดตั้ง คลินิกเกษตร เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกษตรกรในพื้นที่ทำเกษตรกรรมอย่างปลอดภัยเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดียิ่งขึ้น โดยมุ่งหวังสร้างเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้ทุกคนมีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงปูพื้นสร้างโอกาสให้คนในชุมชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในระยะยาว

นอกจากนี้ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของการประกอบกิจการ อัคราจัด “โครงการตรวจสุขภาพประจำปีให้แก่ชาวบ้านรอบเหมือง ภายใต้แนวคิด ‘เหมืองแร่ปลอดภัย ห่วงใยประชาชน’ ซึ่งได้ดำเนินการมาทุกปีอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่ โดยเปิดให้ชาวบ้านจาก 3 อำเภอ ในระยะรัศมี 5 กิโลเมตรรอบหมือง จำนวน 28 หมู่บ้าน หรือประมาณ 700 คน เข้าตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพได้สะดวกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยให้ชาวบ้านมีข้อมูลสุขภาพของตนเอง และสามารถเฝ้าระวัง ป้องกัน พร้อมเข้าถึงการรักษาโรคได้อย่างทันท่วงทีซึ่งผลการตรวจสุขภาพเหล่านี้ เป็นฐานข้อมูลให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่นำไปใช้ต่อยอดในการดูแลประชาชนต่อไป ทั้งหมดนี้ส่งผลให้อัคราได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างดี

แนวโน้มราคาทองคำและอุตสาหกรรมเหมืองแร่เป็นอย่างไร

นายบุญเลิศ ตอบชี้แจงว่า สำหรับราคาทองคำนั้น ในปีที่ผ่านมาราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเยอะ โดยทำราคาสูงสุดที่ $2790 ต่อออนซ์ เมื่อสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คิดว่าช่วงนี้อาจจะมีการพักตัวบ้างเพราะนักลงทุนบางส่วนน่าจะขายเพื่อทำกำไร บวกกับในระยะแรกหลังการเปลี่ยนผ่านของผู้นำสหรัฐ นโยบายกีดกันการค้าของทรัมป์ที่จะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าในระยะแรกซึ่งเป็นลบกับราคาทองคำ แต่แนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นขาขึ้น จากปัจจัยความกังวลทางการเมืองและเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลก ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การจับมือกับพันธมิตรอย่างกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ที่จะลดบทบาทของค่าเงินดอลลาร์ และปัจจัยของ “ความกลัวว่าจะพลาดโอกาส” ในหมู่นักลงทุน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยหนุนให้เกิดแรงซื้อทองซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย จะทำให้ราคาทองยืนอยู่ในระดับสูงได้พอสมควร

นายเชิดศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากเป็นวัตถุดิบในเครื่องประดับแล้ว ทองคำยังเป็นส่วนนึงในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ใกล้ตัวที่แทบจะเป็นอวัยวะที่ 33 ของเราอย่างมือถือก็มีทองเป็นส่วนประกอบ ซึ่งความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยียังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเทรนด์การใช้พลังงานทางเลือกที่ส่งผลให้มีความต้องการโลหะมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากโลหะมีค่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของแบตเตอรี่หรือแผงโซลาเซลล์ ดังนั้น ทองคำและโลหะมีค่ายังคงเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ทั่วโลกต้องการ

แผนความร่วมมือต่อไประหว่างอัครา พีเอ็มอาร์ และออสสิริส

นายบุญเลิศ เน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์ “ทองไทย เพื่อคนไทย” เดินหน้าส่งต่อ “คุณค่าไทย” ผ่านทองคำไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทย สู่สายตาโลก โดยจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้สินค้าทองคำและเงินของไทยผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากประเทศคู่ค้า เช่น การลดหย่อนภาษีนำเข้าของประเทศปลายทางจากการใช้ทองคำและเงินที่สกัดและแปรรูปในไทย ตามหลักเกณฑ์ที่มีสัดส่วนมูลค่าการผลิตและวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) อย่างน้อย 40% ของต้นทุน สร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างประเทศ สอดรับกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการเข้าทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมายังประเทศไทย

ม.ล.ปรมาภรณ์ กล่าวว่า คนส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันต่าง ๆ อยู่ในรูปแบบที่สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ทราบว่า เบื้องหลังของสิ่งของต่าง ๆ เหล่านั้น วัตถุดิบที่ใช้ล้วนมาจากการทำเหมืองแร่ ไม่ว่าจะเป็น มือถือ รถยนต์ แบตเตอรี่ ถนนตึกอาคารต่าง ๆ เพราะฉะนั้นแร่อยู่รอบตัวเราอย่างแท้จริง จึงหวังว่าภาครัฐจะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมปิดทองหลังพระนี้ นายเชิดศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การร่วมมือของ 3 บริษัทนี้ เป็นการเชื่อมต่อสายการผลิตทองคำตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าทองคำ เป็นแรงขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยให้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทองคำศักยภาพแห่งใหม่ที่ครบวงจรและได้มาตรฐานสากลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ชวนเช็กอิน 18 ที่เที่ยวพิจิตร-เพชรบูรณ์ 2568 เมืองรองที่ห้ามพลาด!

อยากเที่ยวในประเทศไทย แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี ? มาลองสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ในช่วงวันหยุดนี้กับ ‘ที่เที่ยวพิจิตร’ และ ‘ที่เที่ยวเพชรบูรณ์’ ดูสักครั้ง ซึ่งนอกจากทั้ง 2 จังหวัดนี้จะเป็นจังหวัดที่ตั้งของเหมืองทองชาตรีแล้ว ภายในจังหวัดก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหาอีกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัดวาอาราม แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตชุมชน ที่บอกเลยว่าต้องห้ามพลาด ! มีโอกาสต้องไปเยือนให้ได้สักครั้ง 

วันนี้เราจะพาคุณไปเช็กอิน 18 สถานที่ท่องเที่ยวสุดปัง รับรองว่าทริปนี้จะเต็มอิ่มทั้งความสุข สนุก แถมได้รูปกลับไปอวดเพื่อนแบบจุก ๆ แน่นอน เอาเป็นว่าปักหมุดให้ไวแล้วรีบตามมาได้เลย !

สถานที่ท่องเที่ยวเพชรบูรณ์ ดินแดนแห่งขุนเขาและทะเลหมอก

1. วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว (เขาค้อ เพชรบูรณ์)

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว (เขาค้อ) เพชรบูรณ์

CR: Facebook วัดผาซ่อนแก้ว

ดินแดนแห่งความศรัทธาและความงามบนยอดเขาสูงแห่งเขาค้อ เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกสุดอลังการที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาเขียวขจีและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ควรค่าแก่การมาสักการะ ตระการตาด้วยเจดีย์พระธาตุ 9 องค์ สีขาวเรียงราย และมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ สีทองอร่าม โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะหลากหลายแขนง ประดับประดาด้วยกระเบื้องโมเสกและเครื่องเบญจรงค์อย่างวิจิตร เหมาะกับสายบุญ ถ่ายรูป คู่รัก ครอบครัว หรือผู้ที่ต้องการความสงบและชื่นชมศิลปะสุด ๆ

วันเวลาเปิด-ปิด: 06:00 – 18:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าใช้จ่าย

2. Hydrangea Cafe Khaokho ทุ่งดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดบนเขาค้อ

Hydrangea Cafe Khaokho ทุ่งดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดบนเขาค้อ

CR: Facebook ไฮเดรนเยีย คาเฟ่ เขาค้อ – Hydrangea Cafe 

จิบกาแฟหอมกรุ่น ท่ามกลางทุ่งไฮเดรนเยียที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดบนเขาค้อ ดื่มด่ำความโรแมนติกของดอกไม้สีสันสดใสที่บานสะพรั่งตัดกับสีเขียวของขุนเขา สูดอากาศบริสุทธิ์และเก็บภาพความประทับใจได้ทุกมุม ถูกใจสายถ่ายรูปอย่างแน่นอน เพราะที่นี่เปรียบเสมือนสวรรค์ของคนรักดอกไม้ ที่เรียกได้ว่ารวมดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดปี เริ่มต้นช่วงหน้าหนาวด้วยแปลงดอกมาร์กาเร็ตออกดอกสีม่วงครามบานสะพรั่งไปทั่วทั้งภูเขา สลับกับทุ่งดอกหญ้าน้ำพุที่สวยคลาสสิค หลังจากนั้นจะหมุนเวียนด้วยดอกไม้ต่าง ๆ มากมาย เช่น ดอกไฮเดรนเยีย ดอกบลูซัลเวีย เรดซัลเวีย ดอกซีโลเซีย ดอกเบญมาศและดอกดาวเรือง ทุ่งดอกไม้แห่งนี้จึงสวยงามตลอดทั้งปี

วันเวลาเปิด-ปิด: สวนเปิด 07:30 – 18:00 น. และคาเฟ่เปิด 08:00 – 17:30 น.

ค่าเข้า: เด็กอายุไม่เกิน 10 ขวบ เข้าฟรี, ผู้ใหญ่ 60 บาท

3. ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์

ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์

เอาใจสายลุย และสายแอดเวนเจอร์ ผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและอากาศหนาวในเวลาเดียวกัน ภูทับเบิก คือตอบโจทย์สุดๆ เพราะอากาศเย็นและสามารถชมทะเลหมอกในยามเช้า สามารถมาร่วมกันพิชิตยอดเขาสูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมสัมผัสอากาศหนาวเย็น ชมวิวทะเลหมอกสุดอลังการที่โอบล้อมไปด้วยไร่กะหล่ำปลีสีเขียวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวม้งบนยอดดอย พร้อมกับดื่มด่ำแสงดาวยามค่ำคืนที่ส่องประกายระยิบระยับเต็มท้องฟ้าเหมือนใกล้แค่เอื้อม โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่ปลายฝนไปตลอดจนช่วงหน้าหนาวได้เลย

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

ค่าเข้า: นำเต็นท์มาเองคิดค่าบำรุงสถานที่คนละ 40 บาท ต่อคืน, เต็นท์นอน 2 คน พร้อมเครื่องนอน ราคา 350 ต่อคืน, เต็นท์นอน 4 คน พร้อมเครื่องนอน ราคา 650 ต่อคืน

4. ทุ่งแสลงหลวง

ทุ่งแสลงหลวง

‘ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย’ คำนี้ไม่เกินจริงเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่และเสน่ห์แห่งธรรมชาติที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ด้วยลักษณะเฉพาะของผืนป่าที่มีทั้งทุ่งหญ้า ป่าสน และมวลหมู่ดอกไม้สวยงาม เพลิดเพลินกับการเดินป่าศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ลุ้นระทึกกับการส่องสัตว์ป่าหายากนานาชนิด เช่น เก้ง กวางและนกหลากหลายสายพันธุ์ สัมผัสความเงียบสงบและผ่อนคลายอย่างแท้จริง ชมวิวทิวทัศน์ของผืนป่าได้สุดลูกหูลูกตา ใกล้ชิดธรรมชาติที่รับรองว่าโดนใจสายแคมปิ้ง สายแอดเวนเจอร์รักธรรมชาติ นักดูนกและช่างภาพสัตว์ป่า เหมาะมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 16:30 น.

ค่าเข้า: ค่าเข้า 40 บาท/คน, รถยนต์ 4 ล้อ 30 บาท/คัน, นอนเต็นท์คนละ 30 บาท

5. ทิวเขาผาโค้ง

ทิวเขาผาโค้ง

CR : องค์การบริหารส่วนตำบลวังโป่ง

ชวนหนีร้อนไปสัมผัสความเย็นจากธรรมชาติ สำรวจความงามของหินงอกหินย้อยภายในทิวเขาผาโค้ง พร้อมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ธรณีวิทยาและโบราณคดีที่ซ่อนอยู่ภายในซึ่งเป็นแหล่งรวมธรรมชาติสุด Unseen กับถ้ำที่มีลักษณะแปลกตากว่า 10 ถ้ำ แต่ที่เปิดให้ชื่นชมความงามจะมีเพียงถ้ำเงิน ถ้ำทอง ถ้ำปากเสือ ถ้ำนาคและถ้ำผาโค้ง ไฮไลท์เด่น ๆ ของที่นี่คือถ้ำเงินที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ที่แม้อากาศด้านนอกจะร้อนแค่ไหน แต่เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำอุณหภูมิก็จะลดลงอยู่ที่ประมาณ 24-25 องศา ชาวบ้านจึงเรียกว่า ‘ถ้ำติดแอร์’ หรือ ‘ถ้ำตู้เย็น’ นั่นเอง อีกหนึ่งไฮไลท์คือถ้ำผาโค้ง หรือผาเจ็ดสี ที่สายถ่ายรูปเช็กอินต้องห้ามพลาด ซึ่งเป็นถ้ำที่เกิดจากการที่หินปูนของภูเขาถูกลมและน้ำกัดเซาะเป็นเวลายาวนาน ทำให้มีลักษณะโค้งมนเป็นม่านหินสูง 20 เมตร ยาว 80 เมตร โดยมักมีน้ำไหลจากด้านบนลงมาตามแนวหน้าผา เมื่อแสงตกกระทบจะเกิดเป็นเฉดสีไล่กันอย่างสวยงาม

วันเวลาเปิด-ปิด: เข้าชมได้ตลอดทั้งวัน

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

สถานที่ท่องเที่ยวพิจิตร เมืองชาละวัน ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

6. บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร

บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร

หัวใจของเมืองพิจิตร บึงน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย สถานที่เที่ยวยอดฮิตของทุกเพศทุกวัย และเป็นแลนด์มาร์กสำคัญแห่งใหม่ของเมืองพิจิตรที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงพลิกโฉมให้กลับมาครึกครื้นเมื่อไม่นานมานี้ เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ และกิจกรรมสันทนาการอย่างการเดินเล่นชิลล์ ๆ ริมบึง การออกไปให้อาหารปลาที่ศาลากลางน้ำ พายเรือเล่นในบึงกว้างชมพระอาทิตย์ตกดิน หรือออกกำลังกายปั่นจักรยานรับลมยามเย็น เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ทำให้ได้สัมผัสวิถีชีวิตเรียบง่ายริมน้ำ ที่สำคัญบึงสีไฟแห่งนี้ยังมีประติมากรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างจระเข้ยักษ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองพิจิตรไว้เป็นจุดเช็กอินแลนด์มาร์กไว้ด้วย

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

7. อุทยานเมืองเก่าพิจิตร

อุทยานเมืองเก่าพิจิตร

CR : องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองเก่าอำเภอเมืองพิจิตร

ชวนคุณย้อนเวลากลับไปในอดีต ณ เมืองพิจิตรเก่า สัมผัสร่องรอยอารยธรรมโบราณผ่านซากโบราณสถาน จินตนาการถึงความรุ่งเรืองในอดีตและเรียนรู้ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองพิจิตร โดยอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของเมืองพิจิตรเก่า ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อ พ.ศ. 2478 และได้รับการบูรณะปรับปรุงให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ. 2529 ภายในอุทยานมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น ศาลหลักเมือง ซึ่งเป็นอาคารไม้ทรงไทยโบราณ วัดมหาธาตุ วัดเก่าแก่ที่มีเจดีย์ทรงดอกบัวตูมเป็นเอกลักษณ์ และถ้ำชาละวัน ตำนานพื้นบ้านชื่อดังของจังหวัดพิจิตร สายวัฒนธรรม ชอบชื่นชมความงามของศิลปะและอารยธรรมไม่ควรพลาด

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 16:30 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

8. ชุมชนย่านเก่าวังกรด

CR : ย่านเก่าวังกรด

เสน่ห์แห่งวันวาน ณ ชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำน่าน ที่ดึงดูดให้ผู้คนตบเท้าเข้ามาชมบ้านไม้โบราณที่มีสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม เดินเล่นสบายๆ แวะชิมอาหารอร่อยและเลือกซื้อสินค้าพื้นเมือง และอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดคือ ‘บ้านหลวงประเทืองคดี’ บุคคลสำคัญของชุมชนวังกรด ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นหลังแรกแห่งชุมชนวังกรด ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่บอกเล่าเรื่องราวของเมืองพิจิตรในอดีต

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

9. วัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร

CR : วัดโพธิ์ประทับช้าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

เอาใจสายบุญกับสถานที่ท่องเที่ยงจังหวัดพิจิตร วัดโพธิ์ประทับช้างเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ที่ ๘ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) ที่อยากชวนคุณมาชมพระอุโบสถขนาดใหญ่ที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา และสักการะต้นตะเคียนใหญ่อายุหลายร้อยปีที่เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ บรรยากาศโดยรอบที่โอบล้อมด้วยความสงบร่มเย็นและความขลังของสถานที่ นอกจากนี้บริเวณวัดยังมักมีนกแก้วโม่ง นกแก้วกะลิงและนกแขกเต้า แวะเวียนมาอาศัยอยู่ด้วย ใครที่ชอบดูไม้ส่องนกไม่ควรพลาด แถมในช่วงฤดูหนาวเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมของทุกปี ยังมีกิจกรรมล่องเรือชมหิ่งห้อยบริเวณวัดอีกด้วย

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

10. ศาลเจ้าพ่อท่าฬ่อ จังหวัดพิจิตร

ศาลเจ้าพ่อท่าฬ่อ จังหวัดพิจิตร

CR : ศาลเจ้าแม่ทับทิมท่าฬ่อ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

ศูนย์รวมความศรัทธาของชาวพิจิตรและนักท่องเที่ยว ศาลเจ้าพ่อท่าฬ่อ หรือศาลเจ้าแม่ทับทิมท่าฬ่อ เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ริมแม่น้ำน่านที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ โดยส่วนมากผู้คนมักนิยมมากราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลในเรื่องโชคลาภ การค้าขายและการเดินทางให้ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลงานประจำปีที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ ตามตำนานเล่าว่า สมเด็จพระเจ้าเสือแห่งกรุงศรีอยุธยาเคยเสด็จมาประทับ ณ บริเวณนี้ และทรงพบกับแสงสีทองเปล่งประกาย จึงได้ทอดพระเนตรดูก็พบว่าเป็นศาลเจ้าแม่ทับทิม จึงทรงให้สร้างศาลขึ้นใหม่และมีการนำไม้ตะเคียนใหญ่มาทำเป็นเสาศาล พร้อมทั้งบวงสรวงตามประเพณี 

วันเวลาเปิด-ปิด: 06:00 – 18:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

11. วัดบางคลาน

วัดบางคลาน

CR : วัดหิรัญญาราม-วัดบางคลาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

วัดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งยุครัตนโกสินทร์ตอนกลางที่คนไทยเคารพนับถือ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านวิทยาคมโดยเฉพาะวิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเมตตามหานิยม วัตถุมงคลของท่าน เช่น รูปหล่อ เหรียญและตะกรุด เป็นที่เสาะแสวงหาของผู้คนมากมาย นอกจากนี้ หลวงพ่อเงินยังเป็นที่เคารพนับถือในฐานะหมอยาที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยสมุนไพร โดยเฉพาะโรคอหิวาตกโรคที่ระบาดในสมัยนั้น ท่านได้ช่วยเหลือผู้คนไว้เป็นจำนวนมากจนได้รับสมญานามว่า ‘เทพเจ้าแห่งโพทะเล’ ปัจจุบันวัดบางคลานยังคงเป็นสถานที่สำคัญที่ผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางมาสักการะรูปหล่อหลวงพ่อเงินและรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

12. สถานีรถไฟพิจิตร

สถานีรถไฟพิจิตร

CR : Facebook สถานีรถไฟพิจิตร

สถานที่ที่เป็นมากกว่าสถานีรถไฟ เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางและจุดถ่ายรูปสุดคลาสสิกสุดวินเทจ ด้วยสถาปัตยกรรมอาคารสถานีที่สวยงาม คงกลิ่นอายของอดีตกับอาคารไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง ทาสีเหลืองคาดน้ำตาล ประดับด้วยไม้ฉลุลายอย่างประณีต ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในประเทศไทย เหมาะแก่การแวะถ่ายรูปเช็กอิน โดยเฉพาะมุมมหาชนอย่าง ‘ป้ายสถานีรถไฟพิจิตร’ ที่ใคร ๆ ก็ต้องมาแชะภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก บรรยากาศรอบ ๆ สถานียังคงความคลาสสิก มีร้านค้า ร้านอาหารและรถสามล้อเครื่องให้บริการ เสมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต หากใครมาเที่ยวพิจิตร อย่าลืมแวะมาเช็กอินที่นี่ รับรองว่าได้รูปสวย ๆ กลับไปแน่นอน

วันเวลาเปิด-ปิด: สามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งวันในเวลาราชการ 08:00 – 17:00 น. 

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

13. สถานีรถไฟตะพานหิน

สถานีรถไฟตะพานหิน

สถานีรถไฟที่สวยงามของเมืองพิจิตรอีกหนึ่งแห่งที่ไม่ควรพลาดเช็กอิน! ถ่ายรูป คือ สถานีรถไฟตะพานหิน สถานีรถไฟเก่าแก่ที่มีเสน่ห์ด้วยอาคารสถานีที่มีการออกแบบและก่อสร้างสถาปัตยกรรมสไตล์คลาสสิก ตัวอาคารสถานีเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทาสีเหลืองครีมตัดกับขอบสีน้ำตาล ที่สะท้อนถึงสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 6 ปัจจุบันยังคงเปิดให้ใช้งานอยู่และได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แม้จะเป็นสถานีรองจากสถานีรถไฟพิจิตรแต่ที่นี่ก็มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ มากมายให้ได้เก็บภาพประทับใจ ถือเป็นอีกจุดที่สายเซลฟี่ ถ่ายรูปเช็กอินและชื่นชอบการเดินทางสุดคลาสสิกด้วยรถไฟต้องห้ามพลาด

วันเวลาเปิดปิด: สามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งวันในเวลาราชการ 08:00 – 17:00 น. 

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

14. ดอกกระเจียวยักษ์ รักเขาโล้น

ดอกกระเจียวยักษ์ รักเขาโล้น จังหวัดพิจิตร

CR : สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดพิจิตร

ตื่นตาตื่นใจกับทุ่งดอกกระเจียวยักษ์สีชมพูอมม่วงที่บานสะพรั่งในช่วงฤดูฝน สัมผัสความงาม Unseen ของธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของพิจิตร โดยทุ่งดอกกระเจียวยักษ์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่บ้านรักไทย ตำบลชมพู อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองพิจิตรมากนัก จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถแวะมาเที่ยวชมได้ โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน ที่ดอกกระเจียวยักษ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ดอกกระเจียวแดง” จะพร้อมใจกันบานสะพรั่งทั่วทั้งหุบเขา เปลี่ยนพื้นที่บริเวณนี้ให้กลายเป็นสีชมพูอมม่วง ตัดกับสีเขียวขจีของต้นไม้โดยรอบ เป็นภาพที่สวยงามตระการตา ซึ่งนอกจากจะได้ชมความงามของดอกกระเจียวแล้ว ยังสามารถเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านในชุมชนและซื้อผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นติดไม้ติดมือเป็นของฝากได้อีกด้วย 

วันเวลาเปิด-ปิด: ช่วงฤดูฝน (กรกฎาคม – กันยายน) ควรสอบถามข้อมูลก่อนเดินทาง

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

15. วัดพระพุทธบาทเขาทราย

วัดพระพุทธบาทเขาทราย

CR : วัดเขาทราย 

ปีนเขาสู่ยอดวัด เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทอันศักดิ์สิทธิ์ ชมวิวทิวทัศน์มุมสูงของอำเภอทับคล้อจากพระอุโบสถของวัดพระพุทธบาทเขาทรายที่ตั้งอยู่บนยอดเขาหินปูนได้อย่างชัดเจน ภายในวัดประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองอันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้าน ได้สัมผัสทั้งความเงียบสงบและอากาศบริสุทธิ์ เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจและทำบุญเป็นอย่างยิ่ง มากกว่านั้นยังมีองค์พระพุทธไสยาศน์ (พระนอน) ปรางค์พระพุทธรูปประจำตัวของคนเกิดวันอังคารให้กราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย และอีกวันสำคัญทางศาสนาอย่างวันทำบุญตักบาตรเทโวฯ ที่จะมีพระภิกษุเดินลงมาบิณฑบาตจากยอดวัดทั้ง 2 ด้าน เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ตระการตา สายมูสะสมบุญไม่ควรพลาด  

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

16. วัดเขารูปช้าง

วัดเขารูปช้าง

CR : Facebook AmazingThailand 

วัดเขารูปช้างเป็นทั้งสถานที่ปฏิบัติธรรมและจุดชมวิวเมืองตะพานหินที่สวยงาม สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดย่อม มีหินขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายรูปช้างอยู่บริเวณเชิงเขา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดนั่นเอง ภายในมีบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ เหมาะแก่การมาปฏิบัติธรรม นอกจากนี้บนยอดเขายังเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์สีขาวขนาดใหญ่ทรงระฆังคว่ำ ซึ่งจากจุดนี้สามารถชมทัศนียภาพของเมืองตะพานหินในมุมสูงได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินจะยิ่งสวยงามอีกเท่าตัว

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

17. วัดท่าหลวง จังหวัดพิจิตร

วัดท่าหลวง พิจิตร

ศูนย์รวมจิตใจอีกหนึ่งแห่งของชาวพิจิตรคือ วัดท่าหลวง เป็นวัดสำคัญของจังหวัดพิจิตร พระอารามหลวงริมแม่น้ำน่านมีอายุเก่าแก่กว่า 200 ปี ภายในพระอุโบสถประดิษฐานหลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยเชียงแสนที่หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่มีศิลปะเชียงแสนอันงดงามเป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่จัดการแข่งขันเรือยาวประเพณี ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของจังหวัดพิจิตรอีกด้วย 

วันเวลาเปิดปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

18. วัดศรีศรัทธาราม

วัดศรีศรัทธาราม

CR : พิจิตรไกด์.คอม

วัดศรีศรัทธาราม เดิมชื่อ ‘วัดห้วยยาว’ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ตำบลป่ามะคาบ เป็นวัดที่มีความสวยงามโดดเด่น สังเกตได้ตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าวัดสีขาวขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่อยู่ด้านใน และภายในวัดมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่สีทองอร่ามเป็นประธาน และมีรูปปั้นพญานาค 7 เศียร 2 ตน สีทองเหลืองอร่าม ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมแวะมาทำบุญ กราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและพักผ่อนหย่อนใจไม่ขาดสาย

วันเวลาเปิดปิด: 06:00 – 18:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 18 สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดพิจิตรและสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่เราคัดสรรมาฝากกัน จะเป็นสายบุญ สายชิลล์ สายแอดเวนเจอร์ หรือสายกินก็มีครบจบในทริปเดียว ! ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ รับรองว่าจะได้สัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แตกต่าง อิ่มเอมทั้งกายและใจ ได้รูปสวย ๆ กลับไปอวดเพื่อน ๆ แน่นอน รีบแพ็กกระเป๋าแล้วออกไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของพิจิตรและเพชรบูรณ์ด้วยตัวคุณเอง แล้วจะรู้ว่าเมืองรองแห่งนี้ มีดีกว่าที่คิด !

ไซยาไนด์คืออะไร? ทำความรู้จักสารเคมีที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด

ไซยาไนด์… แค่ได้ยินชื่อหลายคนคงนึกกลัวจากข่าวที่เกิดขึ้น จนทำให้เกิดความระแวงอยู่ไม่น้อย แต่รู้หรือไม่ว่า ‘ไซยาไนด์’ เป็นสารเคมีที่อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดเสียอีกด้วย บทความนี้เราเลยจะพาคุณไปทำความรู้จักไซยาไนด์กัน ตั้งแต่ว่ามันคืออะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร สามารถพบได้ที่ไหนบ้าง ในธรรมชาติรอบตัวเรามีไซยาไนด์หรือไม่ อันตรายแค่ไหน รวมถึงประโยชน์ดี ๆ อย่างการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ และไขข้อข้องใจเกี่ยวกับไซยาไนด์ที่หลายคนอาจเข้าใจผิดให้ครบแล้วที่นี่

ทำความรู้จักไซยาไนด์ สารประกอบเคมี… ที่ใคร ๆ ก็มองว่าอันตราย

ไซยาไนด์ถูกจัดเป็นสารพิษอันตรายชนิดที่ 3 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่งหากครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต มีโทษทั้งจำและปรับ โดยในไซยาไนด์ตามโครงสร้างทางเคมี คือเป็นสารประกอบเคมีที่มี “ไซยาไนด์ไอออน (CN-)” เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอน (C) และไนโตรเจน (N) ซึ่งมีหลายชนิด เป็นได้ทั้งของแข็งในรูปแบบก้อนผลึก หรือผงสีขาว เป็นของเหลวสีใสไม่มีกลิ่น หรือในรูปแบบก๊าซที่ไม่มีสีแต่บางคนจะได้กลิ่นคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ 

และความจริงอันน่าเหลือเชื่อที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน… ว่ารอบตัวเรานั้นต่างรายล้อมไปด้วยไซยาไนด์อยู่ แบบที่เรียกได้ว่าแฝงตัวได้อย่างแนบเนียนเลยทีเดียว

ไซยาไนด์ในธรรมชาติ การแฝงตัว… ที่ใกล้ชิดกว่าที่คุณคิด

ไซยาไนด์ไม่ได้มีแค่ในห้องทดลองหรือโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังพบได้ในธรรมชาติ แถมยังอยู่ใกล้ตัวกว่าที่ใครหลายคนคิดอีกเสียด้วยซ้ำ

ไซยาไนด์ในธรรมชาติ ไซยาไนด์ในผักและผลไม้
  • พืชผักและผลไม้ มีพืชผักและผลไม้อย่างน้อย 1,000 ชนิด ที่เราคุ้นเคยกันดีซึ่งแน่นอนว่าสามารถสังเคราะห์ไซยาไนด์ได้ ตัวอย่างเช่น ฝ้าย ปอ มันฝรั่ง ถั่วฝักยาว ถั่วเหลือง หัวผักกาด ถั่วลันเตา กวางตุ้ง มันสำปะหลัง หน่อไม้สด ลูกท้อ ลูกแพร์ เชอร์รี ลูกพลัม ข้าวโพด เมล็ดแอปเปิ้ลและอัลมอนด์ เป็นต้น
  • สัตว์บางชนิด สัตว์บางชนิดก็สามารถสังเคราะห์ไซยาไนด์เพื่อป้องกันตัวได้ เช่น ตะขาบ กิ้งกือ เต่าทอง ผีเสื้อทั่วไปและผีเสื้อกลางคืน เป็นต้น
  • อาหารและของใช้ใกล้ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ เกลือ บุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า แม้กระทั่งกางเกงยีนส์ที่เราสวมใส่กัน

ไซยาไนด์ฟังดูอันตราย แล้วทำไม เราถึงไม่เป็นอะไรล่ะ ! 

แม้เราจะรู้แล้วว่าไซยาไนด์อยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมไซยาไนด์เหล่านั้นถึงไม่ส่งผลอะไรกับเราเลย ? 

นั่นเป็นเพราะไซยาไนด์มีหลายชนิด บางชนิดไม่เป็นพิษ บางชนิดมีระดับความเป็นพิษสูง โดยค่าเฉลี่ยของปริมาณไซยาไนด์ที่ทำให้เสียชีวิตเมื่อรับทางปากคือ 1-2 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งหากร่างกายรับไซยาไนด์ในปริมาณน้อยกว่าที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต แต่ก็สามารถทำให้เกิดอาการร่างกายอ่อนแรง ปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว ชักและอาจหมดสติได้ โดยความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณ ชนิด และระยะเวลาในการรับสัมผัสด้วย และนี่ก็คือตัวอย่างปริมาณไซยาไนด์ในธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเราอย่างพืชผักและผลไม้ที่เรายกตัวอย่างมาให้ ดังนี้

ไซยาไนด์ในผักและผลไม้

หมายเหตุ:

  • ข้อมูลในตารางเป็นค่าเฉลี่ยของปริมาณไซยาไนด์ในพืชผักซึ่งอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ฤดูกาล และสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูก
  • การรับประทานพืชผักในปริมาณปกติไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากปริมาณไซยาไนด์อยู่ในระดับที่ต่ำมากและร่างกายสามารถขับออกได้เอง
  • ควรล้าง ปอกเปลือก หรือปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนก่อนรับประทาน เพื่อลดปริมาณไซยาไนด์และสารพิษตกค้างอื่น ๆ ที่มีในผักและผลไม้ตามธรรมชาติ เช่น หน่อไม้ ผักกวางตุ้ง มันสำปะหลัง ถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น

การใช้ไซยาไนด์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ประโยชน์และความปลอดภัยที่ต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมพิเศษ

ในทางอุตสาหกรรมไซยาไนด์ถือเป็นสารเคมีสำคัญที่ใช้ในกระบวนการผลิต โดยไซยาไนด์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ ดังนี้

  • การทำเหมือง: ใช้ในการสกัดทองคำและโลหะมีค่าอื่น ๆ โดยถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองทองตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการละลายทองคำได้เสถียรที่สุด
  • การผลิตพลาสติก: ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลาสติก เช่น ไนลอน อะคริลิค
  • การชุบโลหะ: ใช้ในกระบวนการชุบโลหะเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทาน และความสวยงาม เช่น การชุบทอง ชุบเงิน ชุบโครเมียม เป็นต้น
  • การผลิตกระดาษ: ใช้ในกระบวนการฟอกเยื่อกระดาษโดยเฉพาะโซเดียมไซยาไนด์ เพื่อกำจัดสารลิกนิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้กระดาษมีสีเหลือง ช่วยให้ได้กระดาษที่ขาว สะอาด และมีคุณภาพ
  • การผลิตหนังเทียม: ใช้ในกระบวนการผลิตหนังเทียม เพื่อปรับสภาพผิวและเพิ่มความทนทานของหนังเทียม

ทั้งนี้ การใช้ไซยาไนด์ในแต่ละอุตสาหกรรมต่างมีข้อกำหนดความปลอดภัยมาตรฐานระดับสากล ดังเช่น ที่เหมืองทองชาตรีจากอัครา เรามีนวัตกรรมการควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์ที่ดูแลโดยผู้ชำนาญการและมากประสบการณ์, มีการใช้ระบบ Sparge ร่วมกับเทคโนโลยีในการขนส่งและจัดเก็บไซยาไนด์ (Isotainer) ที่ปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสและป้องกันการรั่วไหล รวมถึงเทคโนโลยีในการคำนวณค่าไซยาไนด์ที่ต้องใช้ในการผลิตแต่ละครั้ง เพื่อให้นำมาใช้ได้อย่างใกล้เคียงความต้องการที่สุด, การกักเก็บกากแร่โดยไม่มีการปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมที่ปิดล้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า TSF (Tailings Storage Facilities) นวัตกรรมมาตรฐานโลกที่ป้องกันการรั่วซึมถึง 5 ชั้น ให้ความมั่นใจว่าไม่มีการรั่วซึมสู่ภายนอก ซึ่งรับรองโดยหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection Division of Nevada State, USA) พร้อมการออกแบบให้ไซยาไนด์ที่หลงเหลือจากกระบวนการสกัดทองคำสลายตัวด้วยความร้อนและแสงจากดวงอาทิตย์ โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยรอบ อีกทั้งยังมีการหมุนเวียนน้ำจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่โดยไม่มีการปล่อยออกไป รวมถึงการมีไซยาไนด์แอนตี้โดส หรือยาต้านพิษไซยาไนด์ ที่สำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับไซยาไนด์ สารหนูและแมงกานีส
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าไซยาไนด์เป็นโลหะหนักเช่นเดียวกับสารหนูและแมงกานีส แต่จริง ๆ แล้วไซยาไนด์เป็นสารประกอบเคมีที่ใช้ในการสกัดทองคำออกจากแร่เท่านั้น ส่วนสารหนูและแมงกานีสเป็นโลหะหนักที่สามารถพบเจอได้ตามแหล่งธรรมชาติ เช่น ในหินแร่ต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิตเหมืองทองคำ

ไซยาไนด์ สารเคมี 2 ด้านที่มีประโยชน์แต่ก็ยังมีความอันตราย การใช้ไซยาไนด์จึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและจัดการอย่างถูกวิธี  เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อผู้ปฏิบัติงาน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม

ไซยาไนด์ เรียกได้ว่าเป็นสารเคมีที่อยู่คู่กับโลกใบนี้มาเนิ่นนาน แถมยังอยู่ใกล้ตัวเสียจนน่าตกใจดังเช่นที่เราให้ข้อมูลไว้ข้างต้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้จะมีฤทธิ์รุนแรงแค่ไหน ก็ยังมีบทบาทสำคัญในวงการอุตสากรรมไม่น้อย ดังนั้น การทำความเข้าใจและเรียนรู้วิธีการป้องกันตัวเองจากพิษของไซยาไนด์จากธรรมชาติ และการใช้งานอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยให้เราสามารถใช้ประโยชน์และอยู่ร่วมกับไซยาไนด์ได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อตนเองและสิ่งแวดล้อม

แหล่งอ้างอิง:
– กรมอนามัยและควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุข
– การศึกษารวบรวมความรู้เรื่องไซยาไนด์ และเกณฑ์มาตรฐานสากลเกี่ยวกับการใช้สารไซยาไนด์ รศ.ดร.พษิณุ บุญนวล, รศ.ดร.เกรียงศักด์ศรีสุข และโพยม สราภิรมย์
– ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับไซยาไนด์ จุฑารัตน์ อาชวรัตน์ถาวร สำหนักอุตสาหกรรมพื้นฐาน กรมอุตสาหกรรพื้นฐานและการเหมืองแร่
– Agency for Toxic Substances and Disease Registry (ATSDR)
– World Health Organization (WHO)
– Food Standards Australia New Zealand (FSANZ)

Master K EP.5 1 ปีเต็มกับการทดลองในบ่อเหมือง C ของมาสเตอร์ K จะเผยให้เห็นอะไรบ้าง?

1 ปีเต็มกับการทดลองในบ่อเหมือง C ของมาสเตอร์ K จะเผยให้เห็นอะไรบ้าง? 🤔 จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อปลูกพืช 🌾และเลี้ยงปลา🐟โดยใช้น้ำจากบ่อเหมืองนี้? ตามไปหาคำตอบด้วยกันในคลิปนี้เลย! 💙💛