โลกแห่งทองคำกับ 10 อุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำชื่อดังทั่วโลก ที่คุณต้องรู้จัก

ทองคำเป็นโลหะล้ำค่าที่อยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษยชาติมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องประดับอันงดงาม แต่ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก การเดินทางของทองคำจากใต้พื้นพิภพสู่มือของเรานั้นต้องผ่านอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 10 เหมืองแร่ทองคำชื่อดังทั่วโลกที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตทองคำของโลกเราว่ามีที่ไหนบ้าง

เปิดทำเนียบ 10 เหมืองทองคำชื่อดังทั่วโลกที่คุณควรรู้จัก

1. กลุ่มเหมืองทองเนวาดา Nevada Gold Mines (NGM)

หนึ่งในแหล่งที่พบแร่ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือกลุ่มเหมืองขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกาท่ามกลางเนินทรายของเนวาดา โดยเกิดจากการผนึกกำลังร่วมกันในปี 2019 ของเหมืองยักษ์ใหญ่ในพื้นที่ซึ่งดำเนินการโดย Newmont Corporation และ Barrick Gold จนขึ้นแท่นเป็นกลุ่มเหมืองทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในรูปแบบเหมืองเปิดขนาดมหึมา 12 แห่ง และมีเครือข่ายอุโมงค์เหมืองใต้ดินสุดซับซ้อนอีก 10 แห่ง โดยเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมามีปริมาณการผลิตสูงถึง 2.69 ล้านออนซ์ และปริมาณสำรองที่สำรวจปี 2024 ก็ยังสูงถึง 26.6 ล้านออนซ์   

เหมืองทองเนวาดา Nevada Gold Mines (NGM)

2. เหมืองทองมูรันเทา (Muruntau Mine) 

ข้ามทวีปมายังดินแดนอุซเบกิสถาน ณ ทะเลทรายคีซิลคุม หนึ่งในทะเลทรายที่กว้างใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียกลาง คืออีกหนึ่งแหล่งที่พบแร่ทองคำขนาดมหึมาและเป็นที่ตั้งของเหมืองทองมูรันเทา (Muruntau Mine) ซึ่งเป็นเหมืองทองคำแบบเปิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อวัดจากพื้นที่ ดำเนินการโดย NMMC (Navoi Mining and Metallurgical Company) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของประเทศอุซเบกิสถาน ในแต่ละปีมีปริมาณการผลิตเฉลี่ย 2 ล้านกว่าออนซ์ โดยในปี 2024 สามารถผลิตได้ถึง 2.67 ล้านออนซ์ โดยมีปริมาณสำรองสูงถึง 150 ล้านออนซ์

2. เหมืองทองมูรันเทา (Muruntau Mine)

3. เหมืองทองกราสเบิร์ก (Grasberg Mine)

พื้นที่ภูเขาสูงและห่างไกลของจังหวัดปาปัวกลาง ประเทศอินโดนีเซีย คือที่ตั้งของเหมืองทองกราสเบิร์ก (Grasberg) ที่ไม่เพียงเป็นแหล่งที่พบแร่ทองคำอันดับต้น ๆ ของโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งขุมทรัพย์ของแร่ธรรมชาติอย่างทองแดงในปริมาณมหาศาล จนได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเหมืองทองที่ยิ่งใหญ่ มีมูลค่าสูง และเป็นเหมืองที่มีทองแดงมากที่สุดในโลก ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท PT Freeport Indonesia ที่จากเดิมทำเหมืองบนพื้นผิว ก่อนจะเปลี่ยนมาทำเหมืองใต้ดินอย่างเต็มรูปแบบในปัจจุบัน ซึ่งมีความซับซ้อนและขนาดใหญ่มาก จากรายงานในแต่ละปีมีปริมาณการผลิตเฉลี่ย 1.7 ล้านกว่าออนซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2023 ผลิตทองคำได้ถึง 1.86 ล้านออนซ์ และผลิตทองแดงได้ถึง 1.5 พันล้านปอนด์ 

เหมืองทองกราสเบิร์ก (Grasberg Mine)

CR : https://polyus.com/en/operations/operating_mines/olimpiada/ 

4. เหมืองทองโอลิมปิอาด้า (Olimpiada)

ลัดฟ้าสู่ดินแดนไซบีเรียตะวันออกบนพื้นที่ห่างไกลของเขตครัสโนยาร์ค ไกร ประเทศรัสเซีย ที่นั่นคือที่ตั้งของเหมืองทองโอลิมปิอาด้า หัวใจหลักในการผลิตทองคำของบริษัท Polyus ผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย โดยเหมืองแบบเปิดแห่งนี้ไม่ได้มีดีแค่ขนาด แต่ยังโดดเด่นด้วยการใช้เทคโนโลยี BIONORD® กรรมสิทธิ์ของบริษัท Polyus ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชีวภาพในการออกซิไดซ์ (Bio-oxidation) ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับแร่ทองคำซัลไฟด์ที่สกัดยากโดยเฉพาะ 

ด้วยกำลังการผลิตที่สูงประมาณ 1.48 ล้านออนซ์ ในปี 2024 และปริมาณสำรองที่สำรวจในปี 2023 ประมาณรวมอยู่ที่ 32.4 ล้านออนซ์ จึงทำให้อุตสาหกรรมเหมืองทองโอลิมปิอาด้าของรัสเซียเป็นหนึ่งในเหมืองทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างแท้จริง

เหมืองทองโอลิมปิอาด้า (Olimpiada)

CR : https://www.barrick.com/ 

5. เหมืองทองปวยโบล วิเอโฮ (Pueblo Viejo)

บินข้ามมหาสมุทรมายังทะเลแคริบเบียน ที่สาธารณรัฐโดมินิกันคือที่ตั้งของอุตสาหกรรมเหมืองทองปวยโบล วิเอโฮ ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นเหมืองทองคำที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคละตินอเมริกา เมื่อวัดจากปริมาณการผลิตต่อปี และยังเป็นหนึ่งในเหมืองทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ใช้เทคโนโลยี Autoclaves หรือการออกซิเดชันด้วยความดันในการแปรรูปแร่ทองคำซัลไฟด์ที่สกัดยากแทน ซึ่งต่างจากเหมืองที่รัสเซียที่ใช้แบคทีเรียกินแร่ (Bio-oxidation) มากกว่านั้นที่เหมืองนี้ยังมีเครื่อง Autoclave ขนาดใหญ่ถึง 4 เครื่อง ทำให้ในปี 2023 สร้างกำลังการผลิตได้ถึง 586,000 ออนซ์ และมีปริมาณสำรองอีก 12 ล้านออนซ์เลยทีเดียว ซึ่งผลลัพธ์ที่น่าจับตามองนี้เกิดจากการร่วมทุนระหว่าง Barrick Gold และ Newmont Corporation 2 ยักษ์ใหญ่แห่งกลุ่มเหมืองทองเนวาดานั่นเอง

เหมืองทองปวยโบล วิเอโฮ (Pueblo Viejo)

CR : https://www.exp.com/experience/detour-lake-mine/ 

6. เหมืองทองดีทัวร์ เลค (Detour Lake)

ดาวเด่นแห่งวงการทองคำแคนาดาที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งป่าสนและทะเลสาบ คือเหมืองทองดีทัวร์ เลค ที่รัฐออนแทรีโอ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของ Agnico Eagle Mines ที่นี่คือเหมืองทองคำแบบเปิดขนาดใหญ่ที่ผลิตได้มากที่สุดของแคนาดา โดยในปี 2024 สร้างกำลังการผลิตได้ราวๆ 672,000 ออนซ์ และมีปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วถึง 19.1 ล้านออนซ์ ด้วยตัวเลขนี้จึงคำนวณได้ว่าสามารถทำเหมืองต่อไปได้อีกอย่างน้อย 30 ปี หรือจนถึงช่วงปี 2050 อีกทั้งจากการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายสู่การทำเหมืองใต้ดิน เพื่อปลดล็อกศักยภาพของแหล่งแร่ที่มีปริมาณสำรองมากที่สุดในแคนาดา ด้วยเป้าหมายการผลิตที่อาจสูงถึง 1 ล้านออนซ์ต่อปีในอนาคต อุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำของดีทัวร์ เลค จะเป็นดาวเด่นที่น่าจับตามองไม่น้อยเลย

เหมืองทองดีทัวร์ เลค (Detour Lake)

CR : https://www.barrick.com 

7. เหมืองทองคิบาลี (Kibali)

อัญมณีแห่งแอฟริกากลางกับเหมืองทองคิบาลี จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) เคยครองตำแหน่งเหมืองทองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา แม้ล่าสุดในปี 2024 จะตกลงมาอยู่อันดับ 3 เพราะกำลังการผลิตที่ลดลงชั่วคราว แต่ยังติดอันดับท็อป 10 เหมืองทองของโลกเสมอ (วัดจากปริมาณการผลิตทองคำต่อปี) ซึ่งเป็นผลงานการร่วมทุนของ Barrick Gold AngloGold Ashanti และ SOKIMO ที่ผสมผสานทั้งการทำเหมืองเปิดและเหมืองใต้ดิน 

แต่สิ่งที่ทำให้เหมืองแห่งนี้โดดเด่น ได้รับการยอมรับอย่างสูงและถูกยกให้เป็นต้นแบบของ ‘เหมืองแห่งอนาคต’ นั่นเป็นเพราะการนำเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างโรงไฟฟ้าพลังน้ำและฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง อีกทั้งระบบอัตโนมัติควบคุมกระบวนการผลิตและจัดการไฟฟ้าในโรงงาน จึงทำให้เหมืองแร่ทองคำคิบาลีแห่งนี้เป็นต้นแบบของเหมืองที่เน้นความยั่งยืนและประสิทธิภาพสูงสุดให้กับเหมืองแร่ทั่วโลก ในขณะที่ตัวเหมืองยังสามารถสร้างกำลังการผลิตได้สูงราวๆ 687,000 ออนซ์ บวกกับปริมาณสำรองทองคำที่พิสูจน์แล้วและน่าจะเป็นไปได้อยู่ที่ประมาณ 10.15 ล้านออนซ์

เหมืองทองคิบาลี (Kibali)

8. เหมืองทองบอดดิงตัน (Boddington)

เรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่แห่งแดนจิงโจ้สำหรับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำบอดดิงตันในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย เพราะเป็นหนึ่งในเหมืองทองคำแบบเปิดที่ผลิตได้มากที่สุดของประเทศ และยังผลิตทองแดงเป็นผลพลอยได้อีกด้วย แม้จะไม่เท่ากับที่กราสเบิร์กก็ตาม 

บอดดิงตันไม่เพียงมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมทองคำของออสเตรเลียเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลกที่สามารถผลิตทองคำได้ถึง 698,000 ออนซ์ ในขณะที่ปริมาณสำรองอยู่ที่ราวๆ 12.33 ล้านออนซ์ และยังเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยีขั้นสูงด้านยานยนต์อัตโนมัติ เรียกได้ว่าเป็นเหมืองทองคำแห่งแรกของโลกที่ใช้กองทัพรถบรรทุกไร้คนขับ! ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ Newmont Corporation นั่นเอง

เหมืองทองบอดดิงตัน (Boddington)

CR : https://www.goldfields-southdeep.co.za/ 

9. เหมืองทองเซาท์ดีป (South Deep) 

ตำนานเหมืองลึกสุดขอบโลกในวงการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำของประเทศแอฟริกาใต้ นับเป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์การทำเหมืองทองคำอันยาวนาน ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเหมืองทองคำใต้ดินที่ลึกเป็นอันดับ 2 ของโลก ติดท็อปเหมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก! และมีปริมาณทองคำสำรองมหาศาลซ่อนอยู่ใต้พื้นโลก แต่ที่คาดการณ์จากการสำรวจเหมืองเซาท์ดีปมีปริมาณสำรองสูงถึง 30.6 ล้านออนซ์ 

แม้การทำเหมืองในระดับความลึกราวๆ 2,995 เมตร จะเต็มไปด้วยความท้าทายทางวิศวกรรม แต่เหมืองทองเซาท์ดีปที่ดำเนินการโดยบริษัท Gold Fields ก็ยังคงเป็นผู้ผลิตสำคัญและพร้อมก้าวผ่านความท้าทายนี้ ด้วยอายุอานามของเหมืองที่คาดการณ์ว่าจะยาวนานไปอีกหลาย 10 ปี (ถึงปี 2096) วัดจากตัวเลขในปี 2023 ที่ผลิตทองคำได้ราว 322,000 ออนซ์เลยทีเดียว

เหมืองทองเซาท์ดีป (South Deep)

CR : https://www.goldfields.com/reports/rr_2009/tech_tarkwa.php 

10. เหมืองทองทาร์ควา (Tarkwa)

ปิดท้ายกันที่เหมืองทองทาร์ควาในประเทศกานา หรือ ‘หัวใจทองคำแห่งแอฟริกาตะวันตก’ เป็นเสมือนฉายาที่สื่อถึงประเทศกานา ในฐานะประเทศผู้ผลิตทองคำรายใหญ่และมีความสำคัญอย่างยิ่งในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นสินทรัพย์หลักของบริษัท Gold Fields เช่นเดียวกับเหมืองทองเซาท์ดีป ความน่าสนใจของเหมืองทองคำแห่งนี้คือวิธีการสกัดทองคำแบบกอง (Heap Leaching) ที่มีขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก ด้วยปริมาณการผลิตทองคำราว 551,000 ออนซ์ ในปี 2023 โดยมีปริมาณแร่สำรองทองคำ (ตามสัดส่วนการถือหุ้น) อยู่ที่ 4.35 ล้านออนซ์ 

เหมืองทองชาตรี เหมืองทองแห่งเดียวของไทย

เหมืองทองชาตรี เหมืองทองแห่งเดียวของไทย

เมื่อพูดถึงอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำระดับโลกแล้ว จะไม่กล่าวถึงประเทศไทยก็คงไม่ได้ นั่นก็คือ ‘เหมืองทองชาตรี’ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่บนรอยต่อ 3 จังหวัด คือ พิจิตร เพชรบูรณ์และพิษณุโลก ถือเป็นเหมืองทองคำแห่งเดียวของไทยและเป็นเหมืองทองคำที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมทองคำของไทย

ด้วยเพราะเหมืองทองชาตรีเป็นเหมืองแบบเปิด (Open-pit Mining) ที่มีกำลังการผลิต (Nameplate Capacity) สูงถึง 5,000,000 ตันต่อปี โดยอัคราให้ความสำคัญกับการดำเนินงานที่ได้มาตรฐานสากล นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสำรวจ ขุดเจาะ สกัดแร่ ไปจนถึงการฟื้นฟูพื้นที่หลังการทำเหมือง ควบคู่ไปกับการดูแลรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด เหมืองทองชาตรีจึงไม่เพียงเป็นแหล่งผลิตทองคำที่สำคัญ แต่ยังเป็นต้นแบบของการทำเหมืองแร่ที่ยั่งยืนในประเทศไทยอีกด้วย

จากข้อมูล 10 อุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำชื่อดังและใหญ่ที่สุดในโลกเหล่านี้ที่เราได้นำมาฝากกัน ล้วนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมทองคำอันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วโลก ที่ยังคงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตอบสนองความต้องการทองคำในหลากหลายมิติ ซึ่งอัคราในฐานะผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำเหมืองทองแห่งเดียวของไทย เราพร้อมที่จะเป็นผู้นำที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ ยกระดับทองไทยจากต้นน้ำถึงปลายน้ำให้ได้คุณภาพระดับสากล สร้างแต้มต่อและมูลค่าเพิ่มในเวทีโลก และดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมโดยนำเทคโนโลยีระดับโลกที่ทันสมัยและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศมาใช้ในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าขุมทรัพย์ใต้พิภพนี้จะยังคงสร้างคุณค่าควบคู่ไปกับการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

สร้างสังคมน่าอยู่ เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยกิจกรรมเพื่อสังคม ที่ใครก็ทำได้

เมื่อพูดถึงการทำสิ่งที่ดีงามหรือการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้กำลังและความสามารถมากมาย แต่แท้จริงแล้ว การใส่ใจสังคมที่อยู่รอบตัวเราแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างโอกาส หรือแรงกระเพื่อมให้เกิดเรื่องราวดี ๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในบทความนี้เราจึงมาแชร์ไอเดียสร้างสังคมที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น ด้วย ‘กิจกรรมเพื่อสังคม’ ให้คุณลองเปลี่ยนความสุขจากการเป็นผู้รับ มาเป็นความสุขจากการเป็นผู้ให้… ที่ไม่ว่าใครก็ทำได้ เป็นไอเดียส่งมอบความสุขและสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมของเรากัน

กิจกรรมเพื่อสังคม คืออะไร ?

นิยามของกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR – Corporate Social Responsibility) หรือ กิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร หรือกิจกรรมที่บุคคล หรือกลุ่มคนทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมนั้นคือ การกระทำที่บุคคลหรือกลุ่มคนทำด้วยความสมัครใจ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างประโยชน์ หรือแก้ไขปัญหาให้กับสังคมส่วนรวม หรือกลุ่มคนด้อยโอกาสต่าง ๆ โดยไม่มุ่งหวังผลกำไรส่วนตัว แต่เน้นการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ และความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้กับสังคมโดยรวม

รวมไอเดียกิจกรรมเพื่อสังคมมีอะไรบ้าง ต่อยอดส่งความสุขให้กับสังคม

ใครที่กำลังมองหาสิ่งดีๆ ทำประโยชน์ให้กับสังคมอยู่ เราชวนคุณมาดูตัวอย่างกิจกรรมเพื่อสังคมในด้านต่าง ๆ ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา คนทั่วไป หรือองค์กรธุรกิจ ก็สามารถนำไปต่อยอดและส่งมอบความสุขให้กับสังคมได้ไม่ยาก

กิจกรรมเพื่อสังคมเป็นสุขด้านสาธารณูปโภค

กิจกรรมเพื่อสังคมด้านสาธารณูปโภค (Public Utilities)

กิจกรรมเพื่อสังคมด้านสาธารณูปโภค (Public Utilities) เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นการสนับสนุน และพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชน เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา การสื่อสาร หรือโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายและมีคุณภาพที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น

  • ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้า หรือโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กให้บ้านเรือนในพื้นที่ห่างไกลที่ยังเข้าไม่ถึงไฟฟ้า
  • ติดตั้งมิเตอร์น้ำ หรือซ่อมแซมระบบประปา เพื่อช่วยให้ชุมชนมีน้ำสะอาดใช้อย่างเพียงพอ
  • สนับสนุนอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาออนไลน์
  • จัดตั้งโครงการ “ตู้เย็นชุมชน” เพื่อแบ่งปันอาหารให้กับผู้ที่ขาดแคลน
  • ช่วยเหลือในการซ่อมแซม สร้างถนน ทางเท้า หรือสะพานที่ชำรุดในชุมชน
  • สนับสนุนการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในท้องถิ่น เพื่อเพิ่มโอกาสการเดินทางที่สะดวกและปลอดภัย
  • ติดตั้ง หรือปรับปรุงระบบไฟส่องสว่างสาธารณะ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในยามค่ำคืน
  • จัดหาถังขยะสาธารณะ หรือจุดทิ้งขยะรีไซเคิลในชุมชน รวมถึงสนับสนุนการสร้างหรือปรับปรุงระบบกำจัดขยะมูลฝอยของชุมชน

กิจกรรมเพื่อสังคมเป็นสุขด้านสาธารณูปการ

กิจกรรมเพื่อสังคมเป็นสุขด้านสาธารณูปการ

ในด้านสาธารณูปการ (Public Welfare/Assistance) จะเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ที่มุ่งส่งเสริมสุขภาพ การศึกษาและสวัสดิการพื้นฐาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชนอย่างยั่งยืน เช่น

  • สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
  • บริจาคชุดยา หรือจัดตั้งตู้ยาในโรงเรียน หรือชุมชน
  • ช่วยเติมน้ำดื่ม หรือสนับสนุนตู้กดน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล
  • มอบเงินสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนและกีฬาให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลน
  • สร้าง หรือปรับปรุงสนามเด็กเล่น รวมถึงสนับสนุนของเล่นเสริมพัฒนาการ
  • จัดอบรมให้ความรู้ด้านการเงิน และการวางแผนการใช้จ่าย
  • ให้ความรู้เรื่องการขายของออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มดิจิตัลสมัยใหม่
  • ส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียม ด้วยการให้ข้อมูลความรู้และการปรับมุมมองความคิดร่วมกัน
  • ดำเนินโครงการทำหมันและตรวจสุขภาพสัตว์ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของชุมชน
  • จัดกิจกรรมรณรงค์การฉีดวัคซีน หรือการตรวจคัดกรองโรคเชิงลุก เพื่อสุขภาพที่ดี
  • สร้างสวนเพื่อชุมชน เพื่อให้เป็นแหล่งพักผ่อนและพื้นที่สีเขียว

กิจกรรมเพื่อสังคมเป็นสุขด้านส่งเสริมสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมเพื่อสังคมเป็นสุขด้านส่งเสริมสิ่งแวดล้อม

สำหรับกิจกรรมด้านส่งเสริมสิ่งแวดล้อม (Environmental Promotion) นับได้ว่าเป็นการดำเนินกิจกรรมที่มุ่งเน้นการดูแลรักษา ปกป้อง ฟื้นฟูและพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้ดีขึ้น เพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนนั่นเอง ตัวอย่างเช่น

  • บริจาคต้นกล้าไม้ให้โรงเรียนและชุมชน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว
  • เพาะชำต้นกล้าเพื่อนำไปปลูกในพื้นที่ที่ต้องการฟื้นฟู
  • เข้าร่วมหรือจัดกิจกรรมปลูกป่าตามพื้นที่ต่างๆ
  • ร่วมสร้างฝายชะลอน้ำขนาดเล็กในชุมชน เพื่อช่วยกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง
  • สนับสนุน หรือส่งเสริมโครงการทำแนวกันไฟป่ารอบพื้นที่ป่าชุมชน เพื่อช่วยป้องกันไฟป่าในช่วงฤดูแล้ง
  • จัดเวิร์กช็อปสอนทำปุ๋ยหมักจากธรรมชาติในชุมชน เพื่อมอบความรู้ให้สามารถต่อยอดสร้างรายได้ครัวเรือนและชุมชน
  • บริจาครถจักรยาน หรือรถไฟฟ้าขนาดเล็ก ลดการปล่อยคาร์บอนไม่ทำให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • เก็บขยะชายหาด แม่น้ำ หรือภูเขา รวมถึงการรีไซเคิลขยะ เพื่อให้สามารถต่อยอดสู่อาชีพและสร้างรายรับได้อีกทาง
  • เข้าร่วมหรือจัดกิจกรรมโครงการอนุรักษ์สัตว์ป่า ผ่านการให้ข้อมูลความรู้และการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อสัตว์ป่า

กิจกรรมเพื่อสังคมเป็นสุขด้านการบริจาคและช่วยเหลือ

กิจกรรมเพื่อสังคมเป็นสุขด้านการบริจาคและช่วยเหลือ

สำหรับกิจกรรมเพื่อสังคมในด้านการบริจาคและช่วยเหลือ (Donation and Social Assistance) เป็นกิจกรรมที่มักมีการมอบสิ่งของ ทรัพย์สิน หรือการกระทำใด ๆ ด้วยความเต็มใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน ขาดแคลน เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี เช่น

  • บริจาคอุปกรณ์กีฬาที่ไม่ใช้แล้วให้กับโรงเรียน หรือศูนย์เยาวชนในชุมชน
  • จัดเลี้ยงอาหารกลางวันให้กับเด็ก ๆ ในสถานสงเคราะห์
  • ช่วยกันทาสี ปรับปรุง หรือซ่อมแซมอาคารเรียน หรือสถานที่สาธารณะเล็ก ๆ น้อย ๆ
  • สร้างมุมหนังสือ หรือบริจาคหนังสือให้ห้องสมุดชุมชน
  • ประชาสัมพันธ์ตามหาคนหายผ่านวิดีโอ หรือฉลากสินค้า เพื่อเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงในการช่วยเหลือเพื่อตามหาคนหายในวงกว้าง
  • สนับสนุน บริจาค หรือสร้างแคมเปญรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงปัญหาต่างๆ เช่น การรังแก การใช้ความรุนแรง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ช่วยทำให้สังคมให้ดีขึ้น
  • สนับสนุนทุนการศึกษากับนักเรียนยากไร้ หรือการวิจัยเพื่อพัฒนาการรักษาโรคต่าง ๆ 
  • มอบพื้นที่โฆษณาฟรีให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือผู้พิการ เช่น ฟีเจอร์การเข้าถึงในระบบปฏิบัติการต่าง ๆ บนมือถือ เพื่อความเท่าเทียม
  • บริจาคซอฟต์แวร์ให้กับโรงเรียนและองค์กรการกุศล หรือสนับสนุนการเรียนรู้ทักษะด้านเทคโนโลยีให้กับเยาวชนด้อยโอกาส
  • มอบส่วนลด หรือบริการฟรีแก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือผู้ที่เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือสังคมต่าง ๆ

กิจกรรมเพื่อสังคมเป็นสุขด้านอาสาสมัคร

กิจกรรมเพื่อสังคมเป็นสุขด้านอาสาสมัคร

ในส่วนของด้านอาสาสมัคร (Volunteering) นับเป็นการทำเพื่อสังคมด้วยการเสียสละเวลา แรงกาย แรงใจและความสามารถของตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เสริมสร้างความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น

  • ใช้เวลาว่างไปอ่านหนังสือให้ผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชราฟัง
  • อัดเสียงหนังสือเรียน หรือเล่านิทานสำหรับเด็กผู้พิการทางสายตา
  • สอนการบ้าน หรือให้ความรู้พื้นฐานแก่เด็กด้อยโอกาสในชุมชน
  • ช่วยดูแล หรือทำกิจกรรมร่วมกับผู้พิการในศูนย์ดูแล
  • สร้างเสียงเพลง หรือดนตรีบำบัดในสวนสาธารณะ หรือโรงพยาบาล
  • เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในงานกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในชุมชน
  • ใช้ทักษะเฉพาะทาง เช่น เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ อาสาสมัครให้คำปรึกษา หรือให้กำลังใจ นักการตลาดจิตอาสา นักออกแบบกราฟิกจิตอาสา หรือนักบัญชีจิตอาสา เป็นต้น

กิจกรรมเพื่อสังคมของอัคราเพื่อชุมชน เพื่อส่งต่อความสุขและรอยยิ้ม

กิจกรรมเพื่อสังคมของอัคราเพื่อชุมชน เพื่อส่งต่อความสุขและรอยยิ้ม

บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สังคมที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ ด้วยนโยบายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต พัฒนาศักยภาพของชุมชนและดำเนินกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในหลากหลายมิติ อันเป็นการสร้างสรรค์ผลลัพธ์เชิงบวกอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน และนี่คือตัวอย่างบางส่วนของกิจกรรมที่บริษัทได้ร่วมดำเนินการเพื่อสังคม

  • ด้านสุขภาพดีถ้วนหน้า: จัดให้มีการตรวจสุขภาพประจำปีฟรีสำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รอบเหมืองในรัศมี 5 กิโลเมตร เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้านอย่างทั่วถึง
  • ด้านการศึกษา สานฝันปันปัญญา: มุ่งมั่นในการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของเยาวชนในพื้นที่ ผ่านโครงการ “ครูเหมือง” โดยส่งบุคลากรของเหมืองสอนวิชาภาษาอังกฤษและภาษาจีนให้แก่นักเรียนในโรงเรียนรอบเหมือง เพื่อเสริมทักษะทางภาษาที่จำเป็นในอนาคต รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนให้มีความปลอดภัยและเอื้อต่อการเรียนรู้ พร้อมจัดหาสื่อการเรียนการสอนและเครื่องแต่งกายที่จำเป็นเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง อีกทั้งยังส่งเสริมการบริโภคอาหารที่ถูกหลักโภชนาการและสนับสนุนโรงเรียนผู้สูงอายุ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตและมีส่วนร่วมในสังคมอย่างมีคุณค่า
  • ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน: ดำเนินโครงการส่งเสริมอาชีพที่หลากหลาย เพื่อสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับชุมชน รวมถึงการจัดตั้งสหกรณ์การเกษตร การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ในพื้นที่รอบเหมือง และการสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
  • ด้านสาธารณูปโภค: ให้ความสำคัญกับการดูแลระบบประปาและไฟฟ้าในหมู่บ้านรอบเหมืองอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่มีน้ำใช้อย่างเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกและการดำรงชีพ
  • ด้านส่งเสริมสิ่งแวดล้อม: ร่วมกับพนักงานและชุมชนปลูกป่าอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว พร้อมดำเนินโครงการทำแนวกันไฟในป่าชุมชนในจังหวัดพิจิตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,723 ไร่ ปกป้องต้นไม้กว่า 544,600 ต้น และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้กับคนในพื้นที่

รวมกิจกรรมความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคมกับอัคราเพิ่มเติมได้ที่นี่

ส่งมอบความสุข สร้างสังคมน่าอยู่ เริ่มได้ที่ตัวเรา… เห็นไหมว่ากิจกรรมเพื่อสังคมเป็นสุขนั้นไม่ต้องเป็นเรื่องใหญ่ หรือต้องใช้เงินทองมากมาย เพียงแค่เรามองหาสิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยกำลังที่เรามี และลงมือทำด้วยใจที่อยากจะแบ่งปัน ก็สามารถสร้างความสุขและส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้กับสังคมของเราได้อย่างง่ายดาย มาเริ่มต้นสร้างสังคมที่น่าอยู่ด้วยพลังเล็ก ๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความหมายไปด้วยกัน

พาทำความรู้จักคาร์บอนฟุตพริ้นท์ รอยเท้าคาร์บอนของเรา… ที่ทำร้ายโลก!

ทุกย่างก้าวในชีวิตประจำวันของเรา ไม่เพียงแค่สร้างรอยเท้าลงบนพื้นดินหรือพื้นทรายเท่านั้น แต่ยังทิ้งร่องรอยที่มองไม่เห็นทว่าส่งผลกระทบต่อโลกอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ ‘คาร์บอนฟุตพริ้นท์’ (Carbon Footprint) หรือ ‘รอยเท้าคาร์บอน’ ซึ่งสะท้อนปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ และกำลังส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมของเราในระยะยาว

เชื่อว่าหลายคนอาจมีคำถามในใจอยู่ไม่มากก็น้อยว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์คืออะไรกันแน่ ทำไมเราจึงควรสนใจและให้ความสำคัญ มากกว่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมหรือภาวะโลกร้อนอย่างไร บทความนี้จะชวนมาทำความรู้จักเรื่องนี้ให้มากขึ้น และที่เหมืองทองอัครามีแนวทางในการจัดการและลดรอยเท้าคาร์บอนนี้อย่างไรบ้าง

“คาร์บอนฟุตพริ้นท์” หมายถึงอะไร ? 

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) หรือรอยเท้าคาร์บอน คือ การวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในรูปของปริมาณรวมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ (Greenhouse Gases – GHG) เช่น ก๊าซมีเทน ก๊าซหัวเราะ ไนตรัสออกไซด์ กลุ่มก๊าซฟลูออริเนต เป็นต้น ที่ถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศจากกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยแหล่งกำเนิดของก๊าซเหล่านี้เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน หรือจากกระบวนการผลิตต่าง ๆ ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งมักถูกเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดว่าเปรียบเสมือน ‘รอยเท้าที่มองไม่เห็น’ จากกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเรา และทิ้งร่องรอยไว้บนโลกซ้ำ ๆ สะสมจนฝังลึกทำร้ายสิ่งแวดล้อมในระยะยาว คล้ายกับรอยเท้ามนุษย์ที่ฝังลึกเหยียบย่ำบนพื้นดิน 

ซึ่งก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นนี้ ทำให้มนุษย์เราได้จุดประกายแนวคิดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขึ้น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวัดและประเมินผลกระทบของกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เราสามารถระบุแหล่งที่มาหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และหาวิธีลดการปล่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการวัดเป็นหน่วย “ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า” (tCO₂e) นั่นเอง

อะไรบ้างที่สร้างคาร์บอนฟุตพริ้นท์

อะไรบ้างที่สร้าง “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ?

มาที่ต้นกำเนิดของคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เชื่อว่าหลายคนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเราล้วนสร้างคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ทั้งสิ้น ตั้งแต่

  • การใช้พลังงาน เช่น การใช้ไฟฟ้า การใช้เชื้อเพลิงในการเดินทาง หรือการใช้แก๊สหุงต้ม
  • การบริโภคอาหาร ตั้งแต่กระบวนการผลิต ไปจนถึงการขนส่งและการบริโภค อาหารแต่ละประเภทมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์แตกต่างกัน นอกจากนี้ เศษอาหารเหลือทิ้งที่เน่าเสีย ยังปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพในการทำลายชั้นบรรยากาศสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่า
  • การซื้อสินค้าและบริการ สินค้าแทบทุกชนิดที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือของใช้ทั่วไป ต่างก็มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สะสมมาตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การบรรจุหีบห่อ จนถึงการขนส่ง และแม้แต่บริการต่าง ๆ เช่น การท่องเที่ยว การพักโรงแรม หรือการใช้บริการออนไลน์ ก็ล้วนมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมผ่านการใช้พลังงานและทรัพยากร
  • การจัดการของเสีย การกำจัดขยะอย่างไม่ถูกต้อง เช่น การฝังกลบโดยไม่มีระบบควบคุม หรือการเผาขยะในที่โล่ง สามารถปล่อยทั้งก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซพิษอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ได้โดยตรง
  • การใช้ที่ดินและการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน การตัดไม้ทำลายป่า หรือการเปลี่ยนพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่เกษตรกรรมหรือเขตเมือง ส่งผลให้ “ตัวกรองธรรมชาติ” ที่ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง อีกทั้งยังทำให้ก๊าซเรือนกระจกที่สะสมอยู่ในดินและพืชถูกปล่อยออกมา 

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ มีกี่ประเภท ? 

สามารถจำแนกได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นตามลักษณะของกิจกรรม หรือประเภทของผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่สำหรับในระดับองค์กร การจำแนกประเภทของคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะอิงจาก “ขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” ตามมาตรฐานสากล เพื่อให้สามารถวัดผลและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กรแบ่งออกเป็น 3 ขอบเขตหลัก หรือที่เรียกว่า Scope 1, Scope 2 และ Scope 3 ดังนี้:

  • Scope 1: การปล่อยโดยตรง (Direct Emissions) เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งที่องค์กรเป็นเจ้าของหรือควบคุมโดยตรง เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ของยานพาหนะในองค์กร การใช้หม้อต้มไอน้ำหรือเครื่องจักรในโรงงาน การปล่อยก๊าซมีเทนจากบ่อบำบัดน้ำเสียขององค์กร หรือกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซโดยตรง เช่น การผลิตซีเมนต์ เป็นต้น
  • Scope 2: การปล่อยทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions from Purchased Energy) เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้พลังงานที่องค์กรจัดซื้อจากภายนอก แม้ว่าก๊าซเรือนกระจกจะถูกปล่อยที่แหล่งผลิตพลังงาน แต่ผลกระทบจะถูกนับรวมเป็นขององค์กร เนื่องจากเป็นผู้บริโภคพลังงานนั้นโดยตรง เช่น การใช้ไฟฟ้าในสำนักงานหรือโรงงาน การใช้ไอน้ำ ความร้อน หรือความเย็นที่ได้จากระบบสาธารณูปโภค หรือผู้ให้บริการพลังงานภายนอก
  • Scope 3: การปล่อยทางอ้อมจากห่วงโซ่คุณค่า (Other Indirect Emissions) เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับองค์กร แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรง เป็นการปล่อยที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่คุณค่าทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ โดย Scope นี้ถือเป็นส่วนที่มีความซับซ้อนมากที่สุด และมักเป็นแหล่งปล่อยก๊าซที่มีปริมาณสูงที่สุด ตัวอย่างเช่น การขนส่งวัตถุดิบและสินค้า การเดินทางของพนักงาน (ที่ไม่ใช่รถบริษัท) การกำจัดของเสียจากผลิตภัณฑ์ การใช้สินค้า หรือบริการโดยลูกค้า 

การทำความเข้าใจ Scope ทั้ง 3 นี้ ช่วยให้องค์กรสามารถระบุแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างครอบคลุม และสามารถวางแผนการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างตรงจุด

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ สำคัญอย่างไร

“คาร์บอนฟุตพริ้นท์” สำคัญอย่างไร ทำไมต้องใส่ใจเรื่องนี้ ?

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ไม่ใช่แค่ตัวเลข หรือตัวชี้วัดทางสถิติ แต่คือภาพสะท้อนของปริมาณก๊าซเรือนกระจก ที่กิจกรรมต่าง ๆ ของเราปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศในทุก ๆ วัน และนั่นคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด “ภาวะโลกร้อน” หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างรวดเร็วและรุนแรงที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อโลกของเราอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งผลกระทบเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เรากำลังเผชิญกับคลื่นความร้อนจัด น้ำท่วมหนัก ภัยแล้งยาวนาน หรือพายุที่โหมกระหน่ำบ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้คุกคามระบบนิเวศ ทำให้สิ่งมีชีวิตเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และยังทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นส่งผลต่อพื้นที่ชายฝั่งโดยตรงอีกด้วย

ที่สำคัญ ผลกระทบทั้งหมดนี้ยังย้อนกลับมาส่งผลต่อสุขภาพ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ของเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การทำความเข้าใจและใส่ใจเรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือ ความรับผิดชอบร่วมกัน ของทั้งบุคคล องค์กร และสังคม หากเราร่วมมือกันลงมือเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ จะช่วยบรรเทาผลกระทบและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกใบนี้ได้ โลกของเรายังมีโอกาสได้ฟื้นฟู และเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

อัคราใส่ใจสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอนพร้อมรับผิดชอบต่อส่วนรวม

ในฐานะผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เรามุ่งมั่นมากกว่าแค่การขุดทอง โดยนำเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศมาใช้ในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานของเราส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์
  • ขุดเจาะอย่างรับผิดชอบ

ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ใน Scope 1 และ Scope 2 ได้ ดังนี้ 

  • ใช้นวัตกรรมลดผลกระทบ เราใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขุดเจาะ พร้อมลดการเกิดฝุ่นและมลภาวะต่าง ๆ
  • บำรุงรักษาเครื่องจักร เราให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องมือและเครื่องจักรที่ใช้ในการขุดเจาะให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่เสมอ เพื่อลดการปล่อยมลพิษและการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น
  • ฟื้นฟูหลังขุดเจาะ หลังจากการขุดเจาะทำเหมืองเสร็จสิ้น เรามีกระบวนการฟื้นฟูพื้นที่อย่างเป็นระบบ เช่น การปรับหน้าดินและการปลูกพืชคลุมดิน เพื่อคืนสภาพแวดล้อมให้กลับสู่สภาพเดิมหรือใกล้เคียง
  • ผลิตอย่างคุ้มค่า

เพื่อการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ใน Scope 1 และ Scope 2 อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยแนวทางดังนี้

  • จัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน เราใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่าในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต โดยเฉพาะการนำน้ำจากบ่อกักเก็บหางแร่ (TSF) กลับมาใช้ใหม่ ทั้งหมดนี้ดำเนินการภายใต้ระบบ Zero Discharge ที่ช่วยลดการใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติได้อย่างมหาศาล
  • เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ เรานำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ในการวางแผนและควบคุมการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียพลังงานและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ตอบโจทย์การดำเนินงานที่ทั้ง คุ้มค่า และ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ฟื้นฟูคืนธรรมชาติ
    • ฟื้นฟูพื้นที่อย่างเป็นระบบ การฟื้นฟูพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้ แต่คือการฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับมาสมบูรณ์ที่สุด ทั้งในแง่ของพันธุ์พืช และความหลากหลายทางชีวภาพ โดยดำเนินการคู่ขนานไปกับการทำเหมือง คำนึงถึงลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และความต้องการของชุมชนในพื้นที่
    • ร่วมมือและรับฟังเสียงชุมชน เพื่อคืนชีวิตให้พื้นที่ เพื่อให้การฟื้นฟูมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เราทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมป่าไม้ และเปิดรับความคิดเห็นของชุมชน เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปตามหลักวิชาการ และสอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง
    • เปลี่ยนขุมเหมืองเก่าเป็นแหล่งน้ำแห่งชีวิต พื้นที่เหมืองเก่าที่ได้รับการฟื้นฟู ไม่เพียงแต่กลายเป็นพื้นที่สีเขียว แต่ยังถูกพัฒนาให้เป็น แหล่งน้ำสำรองเพื่อการเกษตรในฤดูแล้ง และแหล่งเพาะพันธุ์ปลาเพื่อเพิ่มอาหารให้กับชุมชนโดยรอบ โครงการนี้ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ แต่ยังเชื่อมโยงระบบนิเวศให้ “ป่าอยู่กับคน” ได้อย่างยั่งยืน

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ คือร่องรอยที่เราทุกคนฝากไว้บนโลกใบนี้ การทำความเข้าใจและร่วมกันลดรอยเท้านี้จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกคน เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ในฐานะองค์กรที่ตระหนักถึงบทบาทสำคัญต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เหมืองทองอัครา มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ด้วยการนำแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดมาใช้ในทุกขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เราเชื่อมั่นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมและการดูแลชุมชน สังคมและโลกใบนี้ สามารถเดินเคียงคู่กันไปได้

เมื่อธรรมชาติส่งสัญญาณ…ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว ถึงเวลาปกป้องโลกก่อนสายไป

อากาศที่ร้อนขึ้นทุกปี ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นจนแทบละลาย ภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้นเป็นประวัติการณ์ก็ล้วนแล้วเกิดจาก ‘ภาวะโลกร้อน’ ที่กำลังส่งผลกระทบกับโลกทั้งใบที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งหากเรายังนิ่งเฉย อีกไม่นานสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยอาจไม่มีเหลือให้รักษา แต่ยังมีโอกาสที่เราจะร่วมกันเปลี่ยนแปลงวิกฤตนี้ได้ นั่นคือการเริ่มต้นจากความเข้าใจปัญหา วันนี้เราจึงจะพาคุณไปเจาะลึกถึงต้นตอของภาวะโลกร้อนว่าเป็นเพราะสาเหตุใดจึงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเราทุกคนจะช่วยกันได้อย่างไร ก่อนที่โลกจะร้อน… จนเกินกว่าจะย้อนกลับ

ภาวะโลกร้อนคืออะไร ? การตื่นตัวจากสัญญาณภัยธรรมชาติ 

ภาวะโลกร้อน (Global Warming) คือภาวะที่อุณหภูมิบนพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ซึ่งทำหน้าที่กักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่ให้แผ่ออกไปสู่ห้วงอวกาศ ส่งผลให้โลกค่อย ๆ ร้อนขึ้น ซึ่งก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่า และกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม 

ภาวะโลกร้อนจึงไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่เป็น ‘ปัจจุบัน’ ที่เราทุกคนกำลังเผชิญ และนี่คือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องตื่นตัว เข้าใจต้นตอของปัญหาและร่วมกันรณรงค์ลดโลกร้อนเพื่อหาทางแก้ไขอย่างยั่งยืน

เมื่อโลกเดือด และผลกระทบที่ไม่มีใครหลีกพ้นได้

เมื่อภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้น โลกของเราก็เริ่มส่งสัญญาณเตือนผ่านภัยธรรมชาติที่เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม สิ่งที่เคยดูไกลตัว กำลังกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผลกระทบจากโลกร้อนไม่ได้กระทบแค่สภาพอากาศ แต่กำลังรุกล้ำเข้ามาในทุกมิติของชีวิต ทั้งสุขภาพ ความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ และระบบนิเวศโดยรวม ดังนี้

1. สภาพอากาศผันผวนสุดขั้เมื่อเกิดภาวะโลกร้อน ผลกระทบที่ตามมาไม่เพียงทำให้โลกร้อนขึ้นเท่านั้น แต่ยังรบกวนสมดุลระบบภูมิอากาศ เช่น คลื่นความร้อน ฤดูหนาวที่แปรปรวน และฝนตกหนักผิดปกติ เกิดเป็นความแปรปรวนที่รุนแรงและคาดเดาได้ยากยิ่งขึ้น ส่งผลให้สภาพอากาศทั่วโลกเปลี่ยนไปอย่างสุดขั้ว 

2. ภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น จากสภาพอากาศที่ไม่เสถียร ก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและถี่ขึ้นกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นพายุไต้ฝุ่นที่มีกำลังแรงขึ้นจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่เพิ่มสูง น้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกมากผิดปกติในเวลาสั้น ๆ ไฟป่าที่ลุกลามรวดเร็วจากฤดูแล้งที่ยาวนานขึ้น ไปจนถึงธารน้ำแข็งละลายเร็วกว่าที่เคย ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อกระแสน้ำในมหาสมุทรและภูมิอากาศโลก

3. การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งมีชีวิตจำนวนมากกำลังเผชิญภาวะคับขันจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นและที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น สัตว์บางชนิดเริ่มสูญพันธุ์ ปะการังฟอกขาว (Coral Bleaching) และจำนวนพื้นที่ป่าไม้ลดลง ซึ่งส่งผลต่อระบบห่วงโซ่อาหารและสมดุลของธรรมชาติในระยะยาว 

ด้วยเหตุนี้ ภาวะโลกร้อนจึงไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลหรืออุณหภูมิเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนในทุกมิติ ตั้งแต่ภาคเกษตรกรรมที่ไม่สามารถพยากรณ์ฤดูกาลได้อย่างแม่นยำเหมือนในอดีต ไปจนถึงภาคพลังงานและระบบสาธารณูปโภคที่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้วบ่อยครั้งมากขึ้น

แนวทางลดโลกร้อน 

รวมพลังเปลี่ยนโลก ทุกภาคส่วนมีบทบาทแก้ปัญหาโลกร้อน 

การรับมือและรณรงค์เพื่อลดโลกร้อนไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือภารกิจร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจ หรือหน่วยเล็ก ๆ อย่างภาคประชาชนต่างก็มีบทบาทสำคัญในการร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปกป้องโลกใบนี้ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน 

  • ภาครัฐบาล วางรากฐานเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
    ภาครัฐถือเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดทิศทางของการพัฒนาประเทศ นโยบายที่ชัดเจนและยั่งยืนจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ทั้งสังคมเดินหน้าไปในทิศทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะและน้ำเสียอย่างเป็นระบบ ไปจนถึงการออกกฎหมายควบคุมภาคอุตสาหกรรม

เมื่อภาครัฐเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง ภาคประชาชนและภาคธุรกิจก็มีแรงจูงใจในการปรับตัวและร่วมมือกันมากขึ้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

  • ภาคธุรกิจ ปรับตัวเพื่ออนาคต ลดผลกระทบระยะยาว
    ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตอย่างมั่นคง ภาคธุรกิจเริ่มให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเชื่อมั่นจากสังคมในระยะยาว หลายองค์กรได้ปรับกระบวนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับแนวทางการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เช่น การพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้ย่อยสลายได้ง่าย 

ซึ่งแนวทางเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อโลก แต่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์และสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภค ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในยุคปัจจุบัน

  • ภาคประชาชน: จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ สร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่
    แม้การเปลี่ยนแปลงของคนคนเดียวอาจดูเล็กน้อย แต่เมื่อคนจำนวนมากลุกขึ้นมาลงมือทำพร้อมกัน ก็สามารถกลายเป็นพลังที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงงอันยิ่งใหญ่ให้กับโลกใบนี้ได้ เช่น การใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า การเลือกบริโภคอย่างมีสติ หรือการลดของเสียในชีวิตประจำวัน ล้วนเป็นพฤติกรรมง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ 

อีกหนึ่งก้าวสำคัญคือการเรียนรู้และคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) จากการใช้ชีวิตของตัวเอง เพื่อให้เข้าใจว่าพฤติกรรมใดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด และเริ่มปรับเปลี่ยนตามแนวทางที่เหมาะกับตนเอง เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนเริ่มต้นได้จากความเข้าใจและความตั้งใจจริงของทุก ๆ คน

บทบาทแก้ปัญหาโลกร้อน

ก้าวเล็กๆ สู่การเปลี่ยนแปลง แนวทางลดโลกร้อน 

แม้ภาวะโลกร้อนจะดูเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก แต่การแก้ปัญหาไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นได้จากก้าวเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน หากทำอย่างต่อเนื่องและร่วมมือกันก็สามารถรวมพลังกลายเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยอาจเริ่มต้นง่าย ๆ จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น

  1. ปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานที่บ้าน เพราะบ้านคือพื้นที่ที่เราควบคุมได้มากที่สุด การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การปิดไฟเมื่อไม่ใช้ ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเลือกใช้หลอดไฟ LED ที่ประหยัดพลังงาน ไม่เพียงช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ แต่ยังช่วยลดค่าไฟในระยะยาวอีกด้วย
  2. ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แม้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวจะสะดวกในช่วงเวลาหนึ่ง แต่กลับสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว การลดการใช้จึงเป็นทางเลือกง่าย ๆ ที่ช่วยลดโลกร้อนได้ เริ่มต้นจากการพกถุงผ้า แก้วน้ำ หรือกล่องข้าวส่วนตัว และเลือกซื้อสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์น้อยหรือย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 
  3. เดินทางอย่างเป็นมิตรกับโลก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางสามารถช่วยลดภาระให้โลกได้อย่างมีนัยสำคัญ หากเป็นระยะทางใกล้ ลองเปลี่ยนจากการขับรถมาเป็นการเดินหรือปั่นจักรยาน เพราะไม่เพียงช่วยลดมลพิษ แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย 
  4. รักษาและเพิ่มพื้นที่สีเขียว ต้นไม้ไม่เพียงดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ยังเป็นหัวใจของสมดุลทางธรรมชาติ พื้นที่สีเขียวจึงเปรียบเสมือนปราการสุดท้ายในการรับมือกับภาวะโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ในบ้าน ดูแลต้นไม้ในชุมชนหรือร่วมกิจกรรมปลูกป่า ล้วนเป็นการสร้างเกราะป้องกันภาวะโลกร้อนที่ทรงพลัง
  5. ใช้พลังงานสะอาดให้มากขึ้น อีกทางเลือกสำคัญในการช่วยโลกคือการหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมซึ่งไม่ปล่อยคาร์บอนระหว่างใช้งาน สำหรับครัวเรือน การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในบ้านเป็นการลงทุนในระยะยาว ที่ช่วยลดค่าไฟและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
พฤติกรรมใดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด

อัครา ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของก้าวเล็ก ๆ สู่การเปลี่ยนแปลง ผ่านการดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดการพึ่งพาใช้พลังงานฟอสซิลและก๊าซเรือนกระจก โครงการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวกับคนเหมือง เพื่อพลิกฟื้นผืนดิน คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับป่าและสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน รวมไปถึงการจัดอบรมและกิจกรรมเรื่องการคัดแยกขยะ เพื่อส่งเสริมความตระหนักเกี่ยวกับระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและผลกระทบที่เกิดจากขยะ ซึ่งทางอัครายังคงมุ่งมั่นการดำเนินโครงการต่าง ๆ ด้านสิ่งแวดล้อมตลอดมา 

โครงการติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด
อัครา ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของก้าวเล็ก ๆ สู่การเปลี่ยนแปลง ผ่านการดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ

แม้ภาวะโลกร้อนจะเป็นปัญหาที่ใหญ่และซับซ้อน แต่เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงสามารถเริ่มต้นได้จากเรื่องเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน ด้วยความเข้าใจที่มากขึ้นและการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง แม้เพียงคนละนิด แต่เมื่อรวมพลังกันจากทุกภาคส่วน ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกของเราฟื้นคืนกลับมาได้และในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม อัคราจึงมุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการนำนวัตกรรมมาใช้ และการทำงานร่วมกับชุมชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกก้าวของการเติบโตดำเนินควบคู่ไปกับการดูแลธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน

เรื่องดีๆ ของคนทำงานอัครา… ชวนดูเข็มทิศการพัฒนาบุคลากรที่ไม่เคยหยุดเติบโตร่วมกัน

ที่บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เราเชื่อมั่นเสมอว่า ‘บุคลากร’ หรือ ‘คนทำงาน’ คือหัวใจสำคัญและเป็นพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร เราจึงมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้พนักงานของเราทุกคนได้ค้นพบ และพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ผ่านแผนการพัฒนาบุคลากรในหลากหลายมิติ วันนี้เราจึงอยากชวนทุกท่านมาดูเข็มทิศการพัฒนาบุคลากรของอัคราที่นำทางเราสู่การเติบโตร่วมกัน และนี่คือเรื่องราวความภาคภูมิใจที่เราอยากแบ่งปัน

เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน หลักการพัฒนาบุคลากรที่อัครายึดมั่น

อัครายึดมั่นในหลักการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อมั่นในศักยภาพของ ‘คน’ ว่าสามารถเรียนรู้ พัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้เสมอ และเมื่อพนักงานของเราเติบโต องค์กรก็เติบโต รวมถึงชุมชนรอบข้างก็จะเติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งนี่คือพันธกิจที่เราให้ความสำคัญ

  • สร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ เราส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศของการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุดภายในองค์กร พนักงานทุกคนมีโอกาสในการพัฒนาทักษะและความรู้ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพของตนเอง
  • ดูแลพนักงานดุจครอบครัว เราเชื่อว่าพนักงานที่มีความสุข จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ผลงานที่ดีเยี่ยม เราจึงมุ่งมั่นสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ปลอดภัยและเกื้อกูลกัน
  • ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน การพัฒนาบุคลากรของเราไม่ได้จำกัดอยู่แค่พนักงานในองค์กร แต่ยังขยายผลไปสู่ชุมชนรอบเหมือง เรามุ่งมั่นสร้างงาน สร้างอาชีพ ทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านการจ้างงาน โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณารับพนักงานจากชุมชนรอบพื้นที่เหมืองแร่ทองคำชาตรีเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ ยังสนับสนุนผู้ประกอบการในท้องถิ่น และเดินหน้าพัฒนาทักษะให้คนในชุมชนมีอาชีพที่พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน 

ส่งมอบโอกาสและการพัฒนาบุคลากร หลากหลายโครงการและกิจกรรมที่อัครามอบให้

 เข็มทิศของการพัฒนาบุคลากรที่อัครายึดถือ มุ่งไปยังหลากหลายโครงการและกิจกรรมที่เราตั้งใจมอบให้ เพื่อให้ทุกคนได้เติบโตและเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน ครอบคลุมตั้งแต่การส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงาน การพัฒนาทักษะที่จำเป็น ไปจนถึงการดูแลคุณภาพชีวิตในทุกมิติ

ส่งมอบโอกาสและการพัฒนาบุคลากร หลากหลายโครงการและกิจกรรมที่อัครามอบให้

1. การฝึกอบรมด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม

ความปลอดภัยของพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน คือสิ่งที่อัคราให้ความสำคัญสูงสุด เราจึงจัดให้มีการฝึกอบรมและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่เข้มแข็งและสร้างความมั่นใจว่าทุกคนจะทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานสากล

การอบรมเฉพาะด้านสำหรับพนักงานปฏิบัติงาน

  • จัดอบรมการจัดการสารเคมี โดยฝ่ายอาชีวอนามัยและความปลอดภัย จัดอบรมความรู้การจัดการสารเคมีให้กับพนักงานที่ต้องปฏิบัติงานใกล้ชิดกับสารเคมี โดยมีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานของเราจะได้รับความปลอดภัยในทุกพื้นที่การปฏิบัติงาน
  • จัดอบรมเรื่องความปลอดภัยในการทํางานกับปั้นจั่น ให้กับพนักงานที่เกี่ยวข้อง (ผู้ควบคุม ผู้ให้สัญญาณ ผู้ยึดเกาะวัสดุ) เพื่อให้การทำงานในทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างปลอดภัย  
  • จัดอบรม ‘การทำงานด้วยระบบเชือกระดับที่ 1 สำหรับผู้ปฏิบัติงานเบื้องต้น ภายใต้การดูแลของผู้ปฏิบัติการบนระบบเชือกระดับที่ 3’ เพื่อให้พนักงานมีความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานและวางแผนควบคุมความเสี่ยงในการทำงานด้วยระบบเชือก และสามารถให้การช่วยเหลือในการกู้ภัยในสถานการณ์ที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงที 

การเตรียมความพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน

  • จัดอบรมหลักสูตร ‘การดับเพลิงเบื้องต้น’ เรียนรู้ทั้งทฤษฎีและฝึกปฏิบัติจริงกับทีมงานมืออาชีพ เพื่อให้ทุกคนพร้อมรับมือเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้
  • จัดการฝึกซ้อมแผนอพยพหนีไฟและระงับอัคคีภัยประจําปี เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ และเตรียมความพร้อมให้พนักงานรับมือเหตุฉุกเฉิน
  • จัดการฝึกซ้อมแผนการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินกรณีสารเคมีรั่วไหล (ไซยาไนด์) อัคราได้ร่วมมือกับทีมแพทย์จากโรงพยาบาลทับคล้อ จังหวัดพิจิตร และศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี จัดการฝึกซ้อมแผนการตอบโต้ฉุกเฉินให้กับทีมโต้ตอบและระงับเหตุฉุกเฉิน (ERT) เน้นการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย และเตรียมความพร้อมทีมงาน (เกี่ยวข้องกับ ISO45001 และ SDG 3) ในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ
  • จัดอบรม ‘แนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกันโรคพิษตะกั่ว’ โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ให้ความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงจากสารตะกั่ว มาตรการควบคุม และแนวทางการดูแลสุขภาพตนเองอย่างถูกต้อง

การพัฒนาองค์รวมด้านความรู้ มาตรฐาน และจิตสำนึกด้านความปลอดภัย 

  • จัดอบรมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐาน ISO ครอบคลุมทั้ง ISO 9001 (คุณภาพ) ISO 45001 (ความปลอดภัย) ISO 14001 (สิ่งแวดล้อม) และมาตรฐานความรับผิดชอบทางสังคม จึงจัดอบรมให้พนักงานมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐาน ISO เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
  • Walkthrough Survey โดยอัคราได้เชิญแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ และเจ้าหน้าที่กลุ่มงานอาชีวเวชศาสตร์จากโรงพยาบาลต่าง ๆ เข้าร่วมประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการทำงาน เพื่อวางแผนพัฒนาการดูแลสุขภาพพนักงานและป้องกันโรคจากการทำงานอย่างเหมาะสม (เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางตาม ISO45001) 
  • จัดกิจกรรมวันความปลอดภัย สร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานและพันธมิตรผ่านกิจกรรมและเกมรณรงค์ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการทำงาน
  • ตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่การทำงานและบริเวณชุมชนรอบเหมือง โดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการขึ้นทะเบียน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่พนักงานและชุมชนว่าเหมืองแร่ทองคำชาตรีของเราปลอดภัยได้มาตรฐาน และไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ

2. การพัฒนาทักษะเฉพาะทาง เพิ่มพูนความสามารถและความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงาน

เพื่อให้พนักงานของเรามีความเชี่ยวชาญและสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มศักยภาพ อัคราได้จัดหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะเฉพาะทางที่จำเป็นต่องานในแต่ละตำแหน่ง รวมถึงทักษะใหม่ ๆ ที่จะช่วยเพิ่มพูนขีดความสามารถในการทำงานและพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต

  • การอบรม Power BI: พัฒนาทักษะการวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย
  • อบรมหลักสูตร ‘เทคนิคการเขียนหนังสือราชการและรายงานการประชุมที่เป็นเลิศ’: ยกระดับทักษะการสื่อสารและการทำงานเอกสารอย่างมืออาชีพ
  • จัดอบรมเรื่องความปลอดภัยในการทํางานกับปั้นจั่น เพื่อเป็นทักษะเฉพาะสำหรับผู้ปฏิบัติงานกับปั้นจั่น
  • จัดอบรมขับรถบรรทุกเสมือนจริง เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานขับรถบรรทุกขนาดใหญ่ หรือรถยักษ์ (777) ของเราจะขับขี่อย่างปลอดภัย จึงมีการฝึกอบรมด้วยเครื่องจำลองการขับรถบรรทุก (Truck Simulator) ภายใต้การฝึกอบรมโดยผู้เชี่ยวชาญก่อนปฏิบัติงานในพื้นที่จริง 
การพัฒนาทักษะเฉพาะทาง เพิ่มพูนความสามารถและความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงาน

3. ส่งเสริมการเรียนรู้เฉพาะทาง

นอกเหนือจากทักษะเฉพาะตำแหน่งงานแล้ว การมีความรู้ความเข้าใจในมาตรฐานสากล กฎหมายและหลักจริยธรรมทางธุรกิจ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินงานขององค์กรเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ อัคราจึงจัดให้มีการอบรมในสาขาเฉพาะทางเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ

  • การอบรมมาตรฐาน ISO ต่าง ๆ เพื่อให้พนักงานเข้าใจหลักเกณฑ์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำงานในชีวิตจริง ทั้งในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม 
  • การอบรมกฎหมายและนโยบายสำคัญทางธุรกิจ เช่น การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน การจัดการความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และการรับเรื่องร้องเรียน เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจด้านกฎหมายและจริยธรรมทางธุรกิจ
สวัสดิการและกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตพนักงาน

4. สวัสดิการและกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตพนักงาน

เพราะพนักงานคือหัวใจขององค์กร อัคราจึงใส่ใจดูแลคุณภาพชีวิตและความสุขของพนักงานในทุก ๆ ด้าน เราเชื่อว่าพนักงานที่มีสุขภาพกายและใจที่ดี จะสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขและเต็มศักยภาพ

  • บริการตรวจวัดสายตา เพื่อดูแลสุขภาพดวงตา และอำนวยความสะดวกให้พนักงานเข้าถึงบริการด้านสายตาได้โดยง่าย
  • การตรวจสุขภาพประจำปีพนักงาน เพื่อให้พนักงานของอัคราทุกคนได้รับรู้สถานะสุขภาพของตนเอง พร้อมแนวทางดูแลป้องกันโรคในเชิงรุก
  • จัดกิจกรรมฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้พนักงาน มอบสุขภาพดีให้กับหัวใจขององค์กร เพื่อให้ห่างไกลจากไข้หวัดใหญ่และส่งเสริมการมีสุขภาพดี ลดการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่
  • การอบรมเสริมความรู้ด้านการออมและสิทธิประโยชน์แรงงาน ส่งเสริมการวางแผนการเงินและความมั่นคงในชีวิต
  • Akara Sports Days เสริมสร้างความสามัคคี เสริมสุขภาพ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงานทุกระดับ
  • การสนับสนุนทีมฟุตบอลอัครา ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในกิจกรรมกีฬา และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นทั้งในองค์กรและชุมชน
  • กิจกรรมสวดมนต์หลังเลิกงาน เพื่อสร้างความผ่อนคลาย เสริมพลังใจ และเติมความสงบในจิตใจหลังวันทำงาน

ซึ่งกิจกรรมและโครงการพัฒนาบุคลากรต่าง ๆ ที่อัคราได้จัดทำขึ้นเพื่อพนักงานนี้ ทำให้เราได้รับรางวัล ‘องค์กรผ่านเกณฑ์การประเมินการส่งเสริมสุขภาพในสถานประกอบกิจการ ระดับมาตรฐาน’ ซึ่งสะท้อนความสำเร็จในการดูแลสุขภาพพนักงานผ่านโครงการต่าง ๆ

สร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ อัคราขับเคลื่อนการจ้างงานเพื่อคนไทยและชุมชนโดยรอบ

สร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ อัคราขับเคลื่อนการจ้างงานเพื่อคนไทยและชุมชนโดยรอบ

หนึ่งในพันธกิจสำคัญของอัครา คือ การยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนผ่านการสร้างงาน สร้างอาชีพ เราตั้งเป้าหมายหลักในการจ้างงานคนในจังหวัดหรือชุมชนโดยรอบเหมืองให้ได้ถึง 90% เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างเสริมสถาบันครอบครัว ให้ทุกคนได้มีโอกาสทำงานใกล้บ้าน อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวอันเป็นที่รัก

อีกทั้งอัคราเปิดโอกาสอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติในการเปิดรับสมัครงานสำหรับบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดอายุและเพศ เราเชื่อมั่นในศักยภาพของ ‘คน’ และพร้อมที่จะมอบโอกาสให้ทุกคนได้เติบโตและเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จร่วมกัน

ก้าวต่อไป… ไม่หยุดพัฒนา เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ที่อัคราเรายังคงมุ่งมั่นวางแผนพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อว่าการลงทุนในคน คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด พนักงานที่มีความรู้ ความสามารถและมีความสุข จะเป็นพลังและหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ความสำเร็จให้กับองค์กร ชุมชน และสังคมต่อไป

ป่าทุกผืนมีค่า พาเจาะลึก ‘แนวกันไฟ’ หัวใจสำคัญของการป้องกันไฟป่า

เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง หนึ่งในภัยเงียบที่หลายพื้นที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดก็คือ ‘ไฟป่า’ ภัยธรรมชาติที่มักปรากฏเป็นเปลวเพลิงสีส้มลุกลามไปทั่วผืนป่าอย่างรวดเร็ว แม้จะดูห่างไกลจากชีวิตในเมืองใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วไฟป่าสามารถส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งต่อธรรมชาติ ระบบนิเวศ เศรษฐกิจ ตลอดจนสุขภาพของมนุษย์ได้โดยที่เราอาจคาดไม่ถึง ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันไฟป่าจึงเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรตระหนักรู้ให้เท่าทัน เพื่อเตรียมรับมือกับภัยนี้อย่างมีประสิทธิภาพ 

โดยหนึ่งในแนวทางการป้องกันไฟป่าที่ได้รับการยอมรับและถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย คือ การทำ ‘แนวกันไฟ’  ซึ่งเปรียบเสมือนปราการด่านแรกในการสกัดกั้นและชะลอการลุกลามของไฟ ช่วยลดความเสียหายจากไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักแนวทางป้องกันนี้กันแบบเจาะลึก พร้อมทำความเข้าใจว่าไฟป่าเกิดจากอะไร รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบนิเวศ เพื่อสร้างความตระหนักในการดูแลผืนป่าให้ปลอดภัยและยั่งยืนต่อไป

ไฟป่า… เพลิงทะเลสีส้มอันร้อนแรง มีสาเหตุเกิดจากอะไร ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตอย่างไรบ้าง ? 

‘ไฟป่า’ เป็นปรากฏการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งสาเหตุทางธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์ ในกรณีของธรรมชาติ ไฟป่าอาจเกิดจากฟ้าผ่าหรือสภาพอากาศที่แห้งแล้งร่วมกับลมแรง ซึ่งเอื้อต่อการเกิดประกายไฟและการลุกลามของเพลิงอย่างรวดเร็ว ขณะที่สาเหตุจากมนุษย์ส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ขาดการควบคุม เช่น การเผาไร่เผาหญ้า การทิ้งก้นบุหรี่ในพื้นที่ป่า การก่อกองไฟขณะตั้งแคมป์โดยไม่ดับให้สนิท รวมถึงการกระทำอื่น ๆ ที่สามารถก่อให้เกิดประกายไฟในสภาพแวดล้อมที่ไวต่อการติดไฟ 

ไฟป่า… เพลิงทะเลสีส้มอันร้อนแรง มีสาเหตุเกิดจากอะไร ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตอย่างไรบ้าง

เมื่อไฟป่าปะทุขึ้น ผลกระทบจากเปลวเพลิงไม่เพียงจำกัดอยู่แค่บริเวณผืนป่าที่ถูกเผาไหม้ แต่ยังอาจสร้างผลเสียตามมาอีกมากมาย เช่น

  • ความเสียหายต่อระบบนิเวศ ไฟป่าคือหนึ่งในสาเหตุหลักของการทำลายถิ่นอาศัยของสัตว์ป่า ทั้งสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ รวมถึงแมลง สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ต้นไม้และพืชพรรณจำนวนมากที่มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ
  • มลพิษทางอากาศและสุขภาพ เพราะควันจากไฟป่าประกอบด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะ PM2.5 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบทางเดินหายใจ และเพิ่มความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับปอดและหัวใจ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรังหรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจ นอกจากการสูญเสียทรัพยากรป่าไม้รวมถึงความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรกรรมแล้ว ไฟป่ายังส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการคมนาคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
  • การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เมื่อเกิดไฟป่า ผลกระทบที่ตามมาคือกลุ่มก้อนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลจากต้นไม้ที่ถูกเผาไหม้ ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกหลักที่เร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน หากเกิดไฟป่าซ้ำซากในพื้นที่เดิมจะยิ่งเพิ่มปริมาณคาร์บอนให้สะสมในชั้นบรรยากาศ และอาจส่งผลต่อสมดุลของสภาพภูมิอากาศในระยะยาว 

แนวกันไฟ ปราการด่านสำคัญในการป้องกันไฟป่า

‘แนวกันไฟ’ คือหนึ่งในวิธีการป้องกันไฟป่าที่มีประสิทธิภาพ สร้างขึ้นเพื่อหยุดยั้งหรือลดความรุนแรงจากการลุกลามของไฟ โดยการตัดวงจรของเชื้อเพลิงตามธรรมชาติไม่ให้ไฟสามารถเคลื่อนตัวผ่านไปยังพื้นที่อื่นได้ จึงเปรียบเสมือนปราการด่านหน้าของป่าไม้ที่คอยทำหน้าที่คุ้มกันภัยจากเปลวเพลิง 

โดยแนวกันไฟทำงานบนหลักการพื้นฐานง่าย ๆ คือ “เมื่อไม่มีเชื้อเพลิง ไฟก็ไม่สามารถลุกลามได้” ซึ่งเชื้อเพลิงในธรรมชาติที่ไฟป่าต้องพึ่งพาอย่างหญ้าแห้ง ใบไม้ กิ่งไม้ เศษไม้ หรือพืชพรรณที่ติดไฟง่าย หากถูกกำจัดเป็นบริเวณกว้าง พื้นที่ตรงบริเวณนั้นก็จะกลายเป็นแนวกันไฟ เมื่อเปลวไฟมาเจอกับพื้นที่ที่ไม่มีเชื้อเพลิง ไฟจึงหยุดหรือชะลอความเร็วลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เจ้าหน้าที่หรือชาวบ้านมีโอกาสเข้าควบคุมหรือดับไฟได้ทันก่อนจะลุกลามจนเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง

แนวกันไฟ ปราการด่านสำคัญในการป้องกันไฟป่า

ด้วยเหตุนี้ แนวกันไฟจึงมีบทบาทสำคัญทั้งในแง่ของการ ‘ป้องกันก่อนเกิดเหตุ’ และ ‘บรรเทาผลกระทบหลังเกิดเหตุ’ ทำให้แนวกันไฟกลายเป็นมาตรการพื้นฐานที่จำเป็นในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า โดยสามารถจำแนกแนวกันไฟในประเทศไทยได้ตามวิธีการจัดการและลักษณะของพื้นที่ ดังนี้

1. แนวกันไฟวิธีกล เป็นแนวกันไฟที่ถูกสร้างโดยแรงงานคนหรือเครื่องจักรในการกำจัดพืชแห้ง วัชพืช เศษไม้ใบไม้ เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นแนวปลอดเชื้อเพลิง เพื่อหยุดการลุกลามของไฟป่า เหมาะสำหรับพื้นที่ที่เข้าถึงง่าย แต่อาจต้องดูแลรักษาเป็นประจำ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้พืชอาจกลับมาเติบโตและเป็นเชื้อเพลิงใหม่ได้อีกครั้ง

2. แนวกันไฟแบบใช้พืชเขียว หนึ่งในวิธีการป้องกันไฟป่าที่ทำได้โดยการปลูกพืชที่มีความชื้นสูงและเขียวชอุ่มตลอดปี เช่น หญ้าแฝกหรือพืชตระกูลถั่ว เพื่อทำหน้าที่เป็นแนวกันไฟธรรมชาติ เนื่องจากพืชเหล่านี้ติดไฟยากและยังช่วยป้องกันการพังทลายของดิน จึงเหมาะกับพื้นที่ลาดชันหรือพื้นที่ดินเสื่อมโทรม 

3. แนวกันไฟแบบใช้วิธีให้น้ำ ซึ่งเป็นวิธีที่คล้ายกับวิธีใช้พืชเขียว เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องปลูกพืชขึ้นใหม่ แต่เป็นการให้น้ำแก่พืชที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เพื่อให้พืชที่ปกคลุมแนวดังกล่าวคงความเขียวชอุ่มชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้พื้นที่มีโอกาสติดไฟน้อยลง โดยอาศัยการติดตั้งระบบรดน้ำ หรือการจัดระบบชลประทานให้มีน้ำไหลผ่านแนวกันไฟนี้

4. แนวกันไฟแบบใช้สารเคมี เป็นการพ่นสารเคมีเพื่อกำจัดวัชพืช หรือทำให้เชื้อเพลิงในพื้นที่ไม่สามารถลุกติดไฟได้ง่าย ทั้งนี้ การใช้สารเคมีเป็นวิธีการป้องกันไฟป่าที่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้

5. แนวกันไฟแบบเผาเชื้อเพลิง เป็นวิธีการเผาเชื้อเพลิงล่วงหน้าในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อไฟป่า โดยควบคุมทิศทางและความแรงของไฟอย่างรัดกุม ทั้งนี้ ต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ด้านการจัดการไฟป่าและต้องมีมาตรการควบคุมเป็นอย่างดีเท่านั้น

6. แนวกันไฟธรรมชาติ คือแนวกันไฟที่เกิดจากลักษณะทางภูมิประเทศหรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่ติดไฟ เช่น ลำห้วย หน้าผา ทางถนนที่ไร้เชื้อเพลิง หรือทุ่งโล่ง ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นแนวป้องกันไฟป่าได้ทันทีโดยไม่ต้องดัดแปลง

โครงการแนวกันไฟจากอัครา ความมุ่งมั่นเพื่อผืนป่า 

อัคราให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในด้านการป้องกันไฟป่า ซึ่งอัคราได้ร่วมสนับสนุนโครงการสร้างแนวกันไฟในพื้นที่ป่าชุมชนรอบเหมือง ในจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างตัวอย่างของการบูรณาการระหว่างภาคเอกชนกับชุมชนในการดูแลทรัพยากรป่าไม้ร่วมกัน ในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2568 อัคราได้ร่วมกับชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นดำเนินโครงการแนวกันไฟในพื้นที่ป่าชุมชนรวม 10 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 4,881 ไร่ ซึ่งสามารถปกป้องต้นไม้ได้มากถึง 976,200 ต้น นอกจากนี้ ยังร่วมเก็บเศษใบไม้ได้กว่า 3,500 กิโลกรัม ซึ่งได้นำไปใช้ผลิตเป็นปุ๋ยหมักสำหรับการปลูกต้นไม้ในฤดูฝนต่อไป อัครายังสนับสนุนอุปกรณ์ดับไฟป่าให้แก่ป่าชุมชน รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ มูลค่ารวมกว่า 188,000 บาท เพื่อเสริมศักยภาพในการเฝ้าระวังและรับมือไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพ

เรื่องเล่าจากพื้นที่ พลังแห่งความร่วมมือปกป้องผืนป่า

อัคราดำเนินโครงการสร้างแนวกันไฟในป่าชุมชนโดยอาศัยความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่อัครา เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และชาวบ้านในพื้นที่ที่พร้อมใจกันเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งอาสาสมัครทุกคนต่างมีภารกิจร่วมกัน คือ การสร้างแนวกันไฟสองด้าน และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ บรรดาอาสาสมัครได้เล่าถึงประสบการณ์และความประทับใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ โดยเฉพาะความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และร่วมสร้างจิตสำนึกในการดูแลรักษาผืนป่าให้อยู่คู่กับชุมชนต่อไป 

“แนวทางกันไฟนี้จะมีประโยชน์ในพื้นที่ป่าชุมชน เพื่อป้องกันไฟที่จะเข้ามาในพื้นที่ป่ารอบนอก โดยเราจะมีเฉวียนสำหรับจัดเก็บเศษใบไม้ต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากลดปริมาณเชื้อเพลิงที่อาจก่อให้เกิดไฟป่าแล้ว ส่วนนี้ยังสามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยสำหรับการปลูกต้นไม้ในฤดูฝนได้อีกด้วย”

– นพรัตน์ ทองมาก (เจ้าหน้าที่ป่าไม้)

“รู้สึกประทับใจ ที่พอได้ทำไปแล้วก็มองเห็นป่าที่เราเคยปลูกไว้เมื่อปีที่แล้วเจริญงอกงาม แล้วมาวันนี้เราก็นำผลลัพธ์ที่ได้มาทำเป็นแนวกันไฟ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเผาไหม้ ลุกลามจากไฟป่า”

– วิชาญ คุ้มคูณ (พนักงานฝ่ายชุมชนสัมพันธ์และการพัฒนา)

“การเข้าร่วมโครงการสร้างแนวกันไฟ ถือเป็นการสนับสนุนการไม่เผา เพราะปัจจุบันนี้ ทุกคนเข้าใจถึงความสำคัญของการรณรงค์ไม่เผาป่า ในฐานะที่เป็นประธานชุมชน ผมก็ดูแลป่าเขานี้มาตลอด จากที่เมื่อก่อนก็มักมีคนมาลักตัดไม้อยู่เป็นประจำ ตอนนี้มีปัญหาไฟป่าเข้ามาอีก หากเราไม่ร่วมมือร่วมใจกันปกป้อง ตอนหน้าคงไม่เหลือผืนป่าให้ลูกหลานได้เห็น”

– ชำนาญ อินตะมะ (ประธานป่าชุมชน)

‘แนวกันไฟ’ จะเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการรับมือไฟป่า

แม้ว่า ‘แนวกันไฟ’ จะเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการรับมือไฟป่า แต่การป้องกันไฟป่าที่แท้จริงเริ่มต้นจากจิตสำนึกของพวกเราทุกคน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ไฟป่าหลายครั้งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมเล็ก ๆ ของมนุษย์ การสร้างความเข้าใจว่าทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการป้องกันไฟป่าได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร นักท่องเที่ยว หรือแม้แต่ผู้ที่สัญจรผ่านพื้นที่ป่า ทุกคนล้วนมีบทบาทร่วมกันในการช่วยลดการเผา และหากพบเห็นกลุ่มควันหรือไฟลุกไหม้ในพื้นที่ป่า สามารถแจ้งเหตุได้ทันทีผ่านสายด่วนพิทักษ์ป่า 1362 

ในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ อัคราจึงมุ่งมั่นในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการรักษาทรัพยากรป่าไม้ เพราะเราเชื่อว่า “ทุกผืนป่ามีคุณค่า” และการป้องกันไฟป่าไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่คือภารกิจร่วมของทุกคนที่ต้องช่วยกันโอบอุ้มและรักษาทรัพยากรป่าไม้ของไทยไว้ให้คงอยู่สืบไป 

ไขความลับ “แมงกานีส” แร่ธาตุสำคัญที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี

หากพูดถึงแร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรม หลายคนอาจนึกถึงทองคำ เหล็ก หรือทองแดงเป็นลำดับแรก ทว่าในความเป็นจริง ยังมีแร่ธาตุอีกมากมายที่แม้ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบเศรษฐกิจและชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ “แมงกานีส” แร่ธาตุที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติในชั้นหินของเปลือกโลก ซึ่งแม้จะไม่โดดเด่นเท่าทองคำหรือแร่โลหะประเภทอื่น ๆ แต่แมงกานีสกลับมีบทบาทสำคัญในภาคอุตสาหกรรมและชีวิตประจำวันของเราอย่างยิ่ง การทำความเข้าใจในคุณสมบัติและคุณค่าของแร่แมงกานีสอย่างเหมาะสม จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้การจัดการทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตอย่างยั่งยืน 

รู้จัก “แมงกานีส” แร่โลหะแห่งโลกอุตสาหกรรม

แมงกานีส (Manganese) คือธาตุโลหะที่มีสัญลักษณ์ Mn และเลขอะตอม 25 มีคุณสมบัติเป็นโลหะแข็ง เปราะ มีสีเทาอมเงิน สามารถพบได้ทั่วไปในรูปสารประกอบอนินทรีย์ตามชั้นหินใต้เปลือกโลก เช่น ไพโรลูไซต์ (MnO₂) โรโดโครไซต์ (MnCO₃) หรือไซโลมิเลน (Psilomelane) ในธรรมชาติ  นอกจากนี้ แมงกานีสยังมักปรากฏร่วมกับแร่โลหะอื่น ๆ เช่น เหล็ก เงิน หรือทองคำ เนื่องจากกระบวนการตกผลึกทางธรณีวิทยาอาจทำให้แร่ธาตุเหล่านี้สะสมและจัดเรียงตัวอยู่ในชั้นหินเดียวกัน

แมงกานีสจึงไม่ใช่เพียงหางแร่จากการขุดทองคำ แต่ถือเป็นองค์ประกอบร่วมทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาในสภาวะแวดล้อมทางธรณีวิทยาที่เหมาะสม ซึ่งแม้จะไม่สามารถนำมาใช้ในรูปแบบบริสุทธิ์ได้โดยตรง แต่ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่สามารถทำปฏิกิริยาเคมีกับธาตุอื่นได้อย่างดี ทำให้แมงกานีสกลายเป็นแร่ที่มีความต้องการสูงในอุตสาหกรรมหนักและเทคโนโลยีของโลกยุคใหม่

“แมงกานีส” มีประโยชน์ในอุตสาหกรรมสมัยใหม่อย่างไร ?

แมงกานีสเป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ในหลากหลายมิติ รวมถึงมีบทบาทสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ดังนี้

“แมงกานีส” มีประโยชน์อย่างไร
  1. อุตสาหกรรมเหล็กกล้าและโลหะผสม

แมงกานีสคือในหนึ่งแร่ธาตุที่มีประโยชน์และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเหล็กกล้าและโลหะผสมอย่างยิ่ง โดยมากกว่า 90% ของแมงกานีสที่ผลิตได้ทั่วโลกถูกนำมาใช้ในการผลิตเหล็ก เนื่องจากแมงกานีสช่วยเสริมคุณสมบัติของเหล็กให้มีความแข็งแรง ทนทานต่อความร้อนและแรงกระแทก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการขจัดสารปนเปื้อน เช่น กำมะถันและออกซิเจนที่อยู่ในเหล็กระหว่างกระบวนการหลอม ซึ่งช่วยให้เหล็กที่ได้มีคุณภาพสูงและเหมาะสมกับการใช้งานในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น อาคารสูง สะพาน และรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น

  1. อุตสาหกรรมแบตเตอรี่และเทคโนโลยีพลังงานสะอาด

แมงกานีสถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมแมงกานีสออกไซด์ (LMO) ซึ่งนิยมใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพา ด้วยคุณสมบัติด้านความเสถียรทางไฟฟ้า มีความปลอดภัยสูง และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่ใช้แมงกานีสเป็นส่วนหนึ่งในระบบกักเก็บพลังงานสำหรับบ้านเรือนและแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของโลกที่มุ่งสู่พลังงานสะอาดและการลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์อย่างต่อเนื่อง

  1. อุตสาหกรรมเคมีและวัสดุพิเศษ

แมงกานีสไม่เพียงแต่เป็นธาตุที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมหนักหรือเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญในวงการเคมีอีกด้วย โดยเฉพาะในฐานะตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) ที่ช่วยให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ ยังเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพในอุตสากรรมเคมีอาหาร เนื่องจากมีคุณสมบัติทางเคมีที่ปลอดภัยและยืดหยุ่น โดยเฉพาะในรูปของแมงกานีสกลูโคเนตซึ่งมีความปลอดภัยสูงและสามารถดูดซึมได้ดีในร่างกายมนุษย์ 

ความน่าสนใจของแมงกานีสไม่ได้มีเพียงในภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อร่างกายของเราและสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ทั้งพืชและสัตว์ โดยในมนุษย์ แมงกานีสเป็นแร่ธาตุอาหารสำคัญที่ช่วยในการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เช่น การเผาผลาญพลังงาน การสร้างกระดูกและการต้านอนุมูลอิสระ ในสัตว์ เช่น ไก่ แมงกานีสช่วยกระตุ้นเอนไซม์ ป้องกันโรคขาโก่ง และความผิดปกติด้านพัฒนาการ รวมถึงในวัวก็มีส่วนช่วยด้านระบบสืบพันธุ์ การเผาผลาญไขมันและเสริมภูมิคุ้มกัน มากกว่านั้นยังเป็นธาตุอาหารรองที่จำเป็นต่อการสังเคราะห์แสงของพืช ทั้งการสร้างคลอโรฟิลล์และการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งล้วนช่วยให้พืชเติบโตได้แข็งแรงและทนต่อสภาพแวดล้อมอีกด้วย

ด้วยคุณสมบัติและประโยชน์ที่ให้คุณทั้งในแง่มุมของอุตสาหกรรมและสิ่งมีชีวิต แมงกานีสจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมและการพัฒนาในหลากหลายอุตสาหกรรม กระทั่งกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเราโดยไม่รู้ตัว

บทบาทร่วมระหว่าง “แมงกานีส” และ “ทองคำ” ในกระบวนการธรณีวิทยา

ด้วยกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่ดำเนินไปอย่างช้า ๆ และต่อเนื่องตลอดหลายล้านปี ทำให้เกิดการสะสมและก่อตัวของแร่ธาตุต่าง ๆ ภายในเปลือกโลก จึงมีความเป็นไปได้ที่แร่ธาตุหลากหลายชนิดอาจเกิดขึ้นในพื้นที่บริเวณเดียวกัน โดยเฉพาะแมงกานีส ซึ่งเป็นแร่ที่มักแทรกตัวอยู่ร่วมกับแร่ธาตุอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถพบแร่แมงกานีสและทองคำเกิดร่วมกันในบางพื้นที่ได้ตามธรรมชาติ ซึ่งแมงกานีสสามารถทำหน้าที่เป็น ธาตุบ่งชี้ (Pathfinder Element) ของแร่ทองคำได้ ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวนี้เอง เราจึงสามารถใช้แมงกานีสเป็นธาตุสำคัญที่นำไปสู่การค้นพบแหล่งแร่ทองคำแห่งใหม่ได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความหลากหลายของกระบวนการทางธรณีวิทยาในการกำเนิดทรัพยากรแร่ของโลก

บทบาทร่วมของแมงกานีสและทองคำสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความน่าทึ่งของธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าแร่ธาตุแต่ละชนิดล้วนมีคุณค่าในแบบของตัวเอง การทำความเข้าใจองค์ประกอบและคุณสมบัติของแร่เหล่านี้อย่างลึกซึ้งจึงเป็นรากฐานสำคัญของการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ในฐานะองค์กรที่ดำเนินงานท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติ เหมืองอัคราให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความรู้ด้านการจัดการแร่ธาตุอย่างรอบด้าน เพื่อร่วมผลักดันให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่เติบโตควบคู่กับความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

เบื้องหลังความล้ำค่า กว่าจะเป็นทองคำต้องผ่านวิธีการสกัดทองคำอย่างไรบ้าง ?

ทองคำที่เราเห็นสีเหลืองทองอร่าม อีกทั้งยังถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้มาจากธรรมชาติเป็นก้อนบริสุทธิ์ แต่ต้องผ่านกระบวนการ ‘สกัดทอง’ ที่ซับซ้อน ซึ่งต้องใช้ทั้งความรู้และความสามารถเฉพาะทาง ถ้าอยากรู้ว่ากว่าจะเป็นทองคำที่สวยงามล้ำค่านั้นมีที่มาอย่างไร วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับวิธีการสกัดทองคำกันว่ามีกี่วิธี และพาไปดูขั้นตอนการสกัดทองคำของเหมืองทองอัคราที่ผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐานระดับสากล

จุดเริ่มต้นการสกัดทองคำ เปลี่ยนหินให้เป็นทองล้ำค่า ต้องผ่านวิธีการอย่างไรบ้าง ? 

กว่าจะได้ทองคำมาสักหนึ่งบาท หรือสักสลึงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทองคำในธรรมชาติมักปะปนอยู่กับแร่ธาตุอื่น ๆ ในปริมาณน้อยนิด อีกทั้งต้องอาศัยกระบวนการ “สกัด” ที่ต้องใช้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญเพื่อแยกทองคำออกมา ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้ 

1. การสกัดทองคำออกจากสินแร่ 

ขั้นตอนนี้เป็นหัวใจสำคัญของการสกัดทองคำ เพราะเป็นการแยกแร่ทองคำออกจากสินแร่ ในอดีตเคยมีการใช้ปรอทในการสกัดทองคำ แต่ปัจจุบันได้เลิกใช้วิธีนี้แล้วเพราะปรอทเป็นโลหะหนัก ซึ่งเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่สามารถสะสมในห่วงโซ่อาหารและก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ โดยปัจจุบันวิธีสกัดทองคำที่นิยมและเป็นมาตรฐานสากลคือ Cyanidation หรือการสกัดทองด้วยสารละลายไซยาไนด์ ซึ่งเป็นวิธีที่เหมืองอัคราเลือกใช้เช่นกัน

หลายคนอาจเกิดความกังวลเมื่อได้ยินคำว่า ‘ไซยาไนด์‘ แต่ที่จริงแล้วไซยาไนด์ที่ใช้ในการสกัดทองคำเป็นสารละลายเจือจางและใช้ในระบบปิด มีการควบคุมปริมาณและการใช้งานอย่างเข้มงวด ที่สำคัญไซยาไนด์สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติเมื่อสัมผัสกับแสงแดดและอากาศกลายเป็นสารที่ไม่เป็นพิษ รวมถึงที่อัคราเราให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยเป็นหัวใจหลัก ทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตเป็นระบบปิด และได้นำถัง ISOTainer ซึ่งเป็นระบบผสมไซยาไนด์อัตโนมัติ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้และลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารเคมีของพนักงาน นอกจากนี้เรายังมีบ่อกักเก็บหางแร่และการจัดการน้ำ (Water Recycling) ที่นำน้ำในกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ทั้งหมด 100% จึงมั่นใจได้ว่าไม่มีสารเคมีรั่วไหลออกสู่ภายนอก

2. การทำให้ทองคำบริสุทธิ์ 

หลังจากได้สารละลายทองคำแล้ว ก็จะมีขั้นตอนที่ต้องทำต่อเพื่อให้ได้ทองคำบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น 

  1. Chlorination เป็นการใช้ก๊าซคลอรีนเป่าเข้าไปในทองคำหลอมเหลวเพื่อแยกโลหะอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งจะทำให้ได้ทองคำที่มีความบริสุทธิ์ประมาณ 99.5%
  2. Electrolysis เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ควบคุมเพื่อกระตุ้นให้ทำปฎิกิริยาในการแยกทองคำออกจากโลหะอื่น ๆ ซึ่งจะได้ทองคำที่มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.99%
  3. Aqua Regia วิธีนี้เป็นวิธีที่ช่างทำทองคำทั่วไปเลือกใช้ โดยมีการใช้กรดไนตริกเเละกรดไฮโดรคลอริกกัดสารละลายทองคำ แล้วใช้สารเคมี เช่น วิธีใช้สาร SMB ทำให้ตกตะกอนทองคำออกมาอีกที แล้วนำไปหลอมด้วยความร้อนให้กลายเป็นทองคำ ซึ่งจะให้ค่าความบริสุทธิ์ประมาณ 99.9x%

ตะลุยเข้าเหมือง เปิดขั้นตอนวิธีการสกัดทอง… 

ที่กว่าจะเป็นทองคำไทย เพื่อคนไทยจากอัครา 

ที่เหมืองอัคราเราได้นำความรู้และเทคโนโลยีมาปรับใช้ในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการสกัดทองคำของเรามีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด

ตะลุยเข้าเหมือง เปิดขั้นตอนวิธีการสกัดทองที่กว่าจะเป็นทองคำไทย เพื่อคนไทยจากอัครา

1. การเตรียมสินแร่

  • หลังสำรวจ วางแผนขุดเจาะและได้สินแร่แล้ว จากนั้นจะเอาสินแร่มาบดหยาบผ่านเครื่องบดหยาบเพื่อให้ได้ขนาดตามที่ต้องการก่อน 
  • เมื่อสินแร่มีขนาดเล็กลงแล้ว จะถูกนำไปบดละเอียดพร้อมกับน้ำให้มีลักษณะคล้ายน้ำโคลน กลายเป็นสินแร่เปียก 

2. การสกัดทองคำ

  • เมื่อเข้าสู่กระบวนการสกัดทองคำ สินแร่เปียกจะถูกนำไปผสมกับสารละลายโซเดียมไซยาไนด์เพื่อชะละลายทองคำออกจากสินแร่ ซึ่งในขั้นตอนนี้เราได้ใช้เทคโนโลยี ISOTainer ซึ่งควบคุมการขนย้าย ผสมและวัดปริมาณไซยาไนด์แบบอัตโนมัติด้วยคอมพิวเตอร์อย่างแม่นยำ เพื่อลดปริมาณไซยาไนด์ตกค้างให้น้อยที่สุด จากนั้นจะใช้ถ่านกัมมันต์ที่มีโครงสร้างรูพรุนสูงเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถดูดซับทองและเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
  • หลังจากนั้นจะนำถ่านกัมมันต์ที่มีทองและเงินไปชะละลาย เพื่อแยกเอาทองและเงินออกจากเม็ดถ่านกัมมันต์ให้อยู่ในรูปแบบของสารละลาย หรือที่เรียกว่าน้ำทอง  

3. ทำให้ทองคำบริสุทธิ์

ขั้นตอนการทำให้ทองคำบริสุทธิ์โดยใช้วิธีตกตะกอน ที่อัคราเราเลือกวิธีการแยกด้วยไฟฟ้า
  • เมื่อได้น้ำทองแล้วก็จะถึงขั้นตอนการทำให้ทองคำบริสุทธิ์โดยใช้วิธีตกตะกอน ที่อัคราเราเลือกวิธีการแยกด้วยไฟฟ้า (Electrowinning) โดยใช้เซลล์ไฟฟ้าดึงโลหะทองคำและเงินออกจากน้ำทอง 
  • แล้วล้างโลหะออกจากขั้วไฟฟ้า ซึ่งจะได้เป็นผงทองคำและเงิน จากนั้นนำผงโลหะทองคำและเงินไปอบให้แห้ง (Gold Cake) 
กระบวนการโลหกรรมขั้นสุดท้ายจากเหมืองทองอัครา

4. หลอมให้เป็นแท่งโดเร่

  • นำผงทองคำผสมเงินที่แห้งแล้วมาหลอมในเตาเผาที่อุณหภูมิสูง เพื่อให้ได้โลหะทองคำผสมเงิน (Doré Bar) 
ขั้นตอนการสกัดทองคำที่หลอมให้เป็นแท่งโดเร่

ซึ่งในขั้นตอนการสกัดทองคำที่หลอมให้เป็นแท่งโดเร่ จะเป็นกระบวนการโลหกรรมขั้นสุดท้ายจากเหมืองทองอัครา ก่อนจะถูกส่งต่อให้กับบริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด หรือ ‘พีเอ็มอาร์ (PMR)’ เพื่อทำการแปรรูปและสกัดทองแท่งโดเร่ของอัคราให้ได้ทองคำที่มีค่าความบริสุทธิ์ 99.99% ตามมาตรฐานสากล และส่งไม้ต่อให้บริษัท ออสสิริส จำกัด ซึ่งมีรากฐานจากการเป็นช่างทองไทยมาก่อน นำไปขึ้นรูปให้เป็นทองคำแท่งและทองคำรูปพรรณคุณภาพต่อไป 

เรียกได้ว่าการสกัดทองคำของอัคราเรานั้น เป็นการเชื่อมสายการผลิตทองคำของไทยตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ผลักดันให้สินค้าที่ผลิตด้วยทองคำและเงินของไทยผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากประเทศคู่ค้าและสร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างประเทศ ลดการนำเข้าและลดการขาดดุลการค้า รวมถึงการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต และการค้าทองคำครบวงจรที่ได้มาตรฐานสากลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยวิสัยทัศน์ “ทองไทย เพื่อคนไทย สู่สายตาโลก” 

จากก้อนหินสู่สินแร่ จากสินแร่สู่ทองคำบริสุทธิ์ คือเรื่องราวของการสกัดทองคำที่ต้องผสานความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมกับเทคโนโลยีและความรับผิดชอบต่อสังคม ที่เหมืองทองอัคราเรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาและนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความยั่งยืนให้กับทั้งธุรกิจ ชุมชน และโลกใบนี้ พร้อมกับเป็นส่วนหนึ่งของฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยนวัตกรรมเหมืองทองยุคใหม่มาตรฐานโลกที่มุ่งมั่นสู่การทำเหมืองทองอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทุกคน 

เปิดตำรา ‘ทรัพยากรธรรมชาติ’ ขุมทรัพย์ ชีวิต และความยั่งยืนมีอะไรบ้าง

ในทุก ๆ วัน เราต่างพึ่งพา ‘ทรัพยากรธรรมชาติ’ รอบตัว ตั้งแต่อากาศที่เราหายใจ น้ำที่ดื่ม อาหารที่เรากิน เสื้อผ้าที่สวมใส่ นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มาจากแร่ธาตุและโลหะ ไปจนถึงพลังงานที่ขับเคลื่อนชีวิตและเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้มาจากทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้น ซึ่งเปรียบเสมือนขุมทรัพย์และมรดกที่ธรรมชาติมอบไว้ให้ แล้วคุณเคยสงสัยกันไหม… ว่าจริง ๆ แล้วทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้มาจากไหน ? มีอะไรบ้างและมีมากน้อยแค่ไหน ? เมื่อการใช้ชีวิต = ใช้ทรัพยากร อนาคตเราเราจะมีใช้ไปอีกนานแค่ไหน ? ไปเปิดโลกของทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้กัน

ทรัพยากรธรรมชาติ คืออะไร สำคัญกับเราแค่ไหน ? 

ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources) คือสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่พวกเราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อตอบสนองความต้องการในการดำรงชีวิตในทุกมิติ ไม่ว่าจะใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ เป็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต ช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก เป็นปัจจัยพื้นฐานที่รองรับการดำรงอยู่ของประชากรโลก รวมถึงการเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจได้อีกด้วย เรียกได้ว่าทรัพยากรธรรมชาติสำคัญอย่างยิ่งต่อทุกชีวิตบนโลกใบนี้

ทรัพยากรธรรมชาติ มีอะไรบ้าง ?

ทรัพยากรธรรมชาติสามารถแบ่งได้หลากหลายแบบ แต่โดยส่วนใหญ่จะแบ่งตาม 2 แนวทางหลัก ดังนี้ 

1. ทรัพยากรธรรมชาติแบ่งตามขีดจำกัดในการใช้งาน 

ทรัพยากรธรรมชาติแบ่งตามขีดจำกัดในการใช้งาน 
  • ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่หมดสิ้น (Renewable Resources) ทรัพยากรเหล่านี้มีอยู่ตลอด หรือสามารถหมุนเวียนทดแทนได้ตามธรรมชาติในระยะเวลาอันรวดเร็ว เช่น แสงอาทิตย์ ลมและอากาศ แต่อาจเสื่อมสภาพจนไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เหมือนแต่ก่อน หากไม่ดูแลรักษา ใช้อย่างไม่ระมัดระวัง หรือสร้างมลพิษที่ส่งผลต่อทรัพยากรเหล่านี้ 
  • ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วสามารถบำรุงรักษาให้คงสภาพอยู่ได้ (Maintainable Resources) ทรัพยากรเหล่านี้สามารถ “ฟื้นฟู” ตัวเองได้ แต่ต้องใช้เวลาและอาจต้องมีการจัดการที่เหมาะสม เช่น ดิน น้ำ ป่าไม้และสัตว์ป่า หากใช้มากเกินไปหรือไม่ระวังอาจเสื่อมโทรมหรือหมดไปได้เช่นกัน
  • ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป (Non-renewable Resources) ทรัพยากรเหล่านี้มีอยู่อย่างจำกัด ใช้แล้วหมดไปและไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ หรือถ้าทำได้ก็กินเวลายาวนานหลายล้านปี เช่น แร่ธาตุ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน เราจึงต้องใช้อย่างประหยัดและคุ้มค่าที่สุด รวมถึงพัฒนาหาทรัพยากรทางเลือกอื่นมาทดแทน 

2. ทรัพยากรธรรมชาติแบ่งตามลักษณะ

ทรัพยากรธรรมชาติมีกี่ลักษณะ
  • ทรัพยากรดิน ดินเป็นพื้นฐานสำคัญของการเกษตร เพราะเป็นแหล่งธาตุอาหาร น้ำและที่ยึดเกาะของรากพืช นอกจากนี้ ดินยังมีความสำคัญต่อการก่อสร้าง เป็นที่ตั้งของอาคารบ้านเรือนและองค์ประกอบของระบบนิเวศโดยรวม
  • ทรัพยากรน้ำ ปฏิเสธไม่ได้ว่าน้ำคือปัจจัยที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อทุกชีวิตบนโลก ถ้าขาดน้ำการดำรงชีวิตทั้งของมนุษย์ สัตว์และพืชย่อมเป็นไปได้อย่างยากลำบาก เพราะทุกกิจกรรมต้องใช้น้ำทั้งสิ้น ตั้งแต่การอุปโภคบริโภค การเกษตร อุตสาหกรรม การผลิตไฟฟ้าไปจนถึงการคมนาคม
  • ทรัพยากรป่าไม้และทิวทัศน์ ป่าไม้และทิวทัศน์มีบทบาทหลากหลายและสำคัญยิ่งต่อโลก นอกจากเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า แหล่งอาหารและยารักษาโรคแล้ว ความงดงามตามธรรมชาติยังเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่องเที่ยวอีกด้วย นี่จึงเป็นทรัพยากรที่ทุกคนต้องช่วยกันรักษา
  • ทรัพยากรสัตว์ป่า ความหลากหลายทางชีวภาพคือหัวใจของระบบนิเวศที่สมบูรณ์ สัตว์ป่าคือองค์ประกอบหลักในการรักษาสมดุล มีความสำคัญในห่วงโซ่อาหาร ช่วยควบคุมประชากร มากกว่านั้นยังเป็นส่วนสำคัญของการศึกษาและท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การอนุรักษ์สัตว์ป่าจึงเท่ากับการรักษาสมดุลของโลก
  • ทรัพยากรแร่ธาตุและโลหะ อุตสาหกรรม การก่อสร้าง และเทคโนโลยียุคปัจจุบัน ล้วนต้องพึ่งพาแร่ธาตุและโลหะเป็นวัตถุดิบสำคัญ ตั้งแต่เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทรัพยากรกลุ่มนี้จึงส่งผลโดยตรงต่อความมั่งคั่งและความมั่นคงของประเทศ
  • ทรัพยากรพลังงาน พลังงานคือปัจจัยขับเคลื่อนแทบทุกกิจกรรมของมนุษย์ ตั้งแต่การดำรงชีวิต การคมนาคมไปจนถึงภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเราใช้ทรัพยากรพลังงานจากแหล่งต่าง ๆ เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน แสงอาทิตย์ ลม หรือพลังงานหมุนเวียน และพัฒนาต่อยอดเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย
  • ทรัพยากรมนุษย์ มนุษย์เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดเพราะมีความสามารถในการคิดค้น สร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรอื่น ๆ ได้  

สร้างจุดสมดุลให้ทรัพยากรธรรมชาติระหว่าง ‘การใช้’ กับ ‘การรักษา’

คุณเคยสงสัยไหมว่าในเมื่อทุก ๆ วัน เรา ‘ใช้ชีวิต = ใช้ทรัพยากร’ จุดสมดุลระหว่าง ‘การใช้’ กับ ‘การรักษา’ นั้นจะต้องทำอย่างไรในเมื่อทรัพยากรธรรมชาติบางอย่างก็พร้อมที่จะหมดสิ้นได้เสมอ คำตอบคือการร่วมมือกัน ‘อนุรักษ์’ ทรัพยากรธรรมชาติ และ ‘พัฒนา’ อย่างยั่งยืน ด้วยแนวทางต่อไปนี้

  • ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและคุ้มค่า ลดการใช้ นำมาใช้ซ้ำ หรือรีไซเคิล
  • ลดการปล่อยมลพิษ ลดการใช้พลาสติก ลดการเผาไหม้ ใช้พลังงานสะอาด
  • ฟื้นฟูทรัพยากรที่เสื่อมโทรม ปลูกป่า บำบัดน้ำเสีย ปรับปรุงดินให้เหมาะสม 
  • ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานหมุนเวียน เกษตรยั่งยืน
  • สร้างจิตสำนึก ให้ความรู้ และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ร่วมกัน
อัคราร่วมใจร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

อัคราร่วมใจ ขอเป็นส่วนหนึ่งร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

เหมืองแร่นับเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลกและมีส่วนผลักดันให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ควบคู่กัน เราจึงตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอย่างรู้คุณค่า และให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความรับผิดชอบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่อาจได้รับผลกระทบ ด้วยการปรับปรุงทรัพยากรบางอย่างเพื่อให้ตอบโจทย์การนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการสีเขียวเพื่อความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างเช่น โครงการฟื้นฟูป่าและปลูกต้นไม้กับคนเหมืองเพื่อเพิ่มทรัพยากรป่าไม้ การบำบัดน้ำใช้แล้วโดยนำน้ำจากกระบวนการผลิตหมุนเวียนกลับมาใช้อย่างคุ้มค่า เพื่อช่วยลดปัญหาขาดแคลนทรัพยากรน้ำภายในท้องถิ่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงและประหยัดการใช้ไฟฟ้า โครงการคลินิกเกษตรที่ช่วยแก้ปัญหาดินในพื้นที่ที่มีสภาพเป็นกรด ให้สามารถปลูกพืชและข้าวได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 

ทรัพยากรธรรมชาติ คือ ‘มรดก’ ที่เราได้รับมาจากธรรมชาติและต้องส่งต่อให้กับคนรุ่นหลัง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด ร่วมกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การฟื้นฟูระบบนิเวศและการปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์โลกตั้งแต่ระดับบุคคลจนถึงระดับองค์กร ล้วนเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อขับเคลื่อนคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคม ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่

เพราะอนาคตของโลกและของเราทุกคนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและการลงมือทำในวันนี้ เพื่อให้โลกใบนี้ยังคงเป็นบ้านที่อุดมสมบูรณ์ น่าอยู่ และยั่งยืนสำหรับทุกคน

รู้จัก “สารหนู” คืออะไร ? เจาะลึกคุณสมบัติและบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิต

เมื่อพูดถึง “สารหนู” หลายคนอาจนึกถึงภาพของสารพิษอันตรายที่ควรหลีกเลี่ยง แต่รู้หรือไม่ สารหนูเป็นหนึ่งในธาตุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยสามารถพบได้ทั่วไปทั้งในชั้นหิน แหล่งน้ำใต้ดิน และมักปรากฏร่วมกับแร่โลหะต่าง ๆ เช่น ทองคำ เหล็ก และทองแดง ซึ่งแม้ว่าสารหนูจะมีคุณสมบัติทางเคมีที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย แต่ในอีกด้านหนึ่ง สารหนูกลับมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมหลากหลายแขนง ตั้งแต่อุตสาหกรรมเคมี ไปจนถึงการผลิตวัสดุเฉพาะทางที่ช่วยขับเคลื่อนเทคโนโลยีและนวัตกรรมในโลกยุคใหม่
วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านไปรู้จักสารหนูในทุกแง่มุม ตั้งแต่คุณสมบัติ การใช้ประโยชน์ของสารหนู ตลอดจนแนวทางการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ไขความลับ สารหนู (Arsenic) คืออะไร มาจากไหน ?

สารหนู (Arsenic) คือธาตุกึ่งโลหะที่มีสัญลักษณ์ As และเลขอะตอม 33 พบกระจายอยู่ในเปลือกโลกตามธรรมชาติ ทั้งในหิน ดิน และแร่ธาตุต่าง ๆ โดยเฉพาะในบริเวณที่มีความเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยาสูง เช่น พื้นที่ภูเขาไฟ หรือแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ ในแง่คุณสมบัติทางเคมี สารหนูมีความสามารถในการจับตัวกับธาตุต่าง ๆ ได้ดี โดยมักพบในรูปของสารประกอบ เช่น อาร์เซโนไพไรต์ (Arsenopyrite) ซึ่งเป็นแร่ซัลไฟด์ที่เกิดร่วมกับแร่โลหะอย่างทองคำ ทองแดง และตะกั่ว จึงทำให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในปัจจุบัน สามารถนำสารหนูมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างปลอดภัยและสร้างคุณค่าในหลากหลายด้าน

สารหนู และประโยชน์ในอุตสาหกรรม

เจาะลึกบทบาทสำคัญของสารหนู และประโยชน์ในอุตสาหกรรม 

ในโลกของอุตสาหกรรม สารหนูมีคุณค่าและความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลากหลายแขนง ดังนี้

1. อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์

สารหนูเป็นธาตุที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในรูปของสารประกอบ GaAs หรือ อาร์เซไนด์แกลเลียม (Gallium Arsenide) ซึ่งถูกใช้เป็นวัสดุกึ่งตัวนำในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเซมิคอนดักเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น ชิปความเร็วสูง ไฟ LED โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ดาวเทียม เป็นต้น

2. อุตสาหกรรมเคมีและการเกษตร

สารหนูยังถูกใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์เพื่อกำจัดแมลงในภาคเกษตรกรรมมากมาย อาทิเช่น ยาฆ่าแมลง สารกันปลวก และสารเคลือบไม้ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อราและกำจัดแมลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อความรู้ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมพัฒนาขึ้น การใช้สารหนูในลักษณะเหล่านี้จึงถูกจำกัดและควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อมนุษย์และธรรมชาติ 

3. อุตสาหกรรมยาและการแพทย์

ประโยชน์ของสารหนูไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เคมีและการเกษตรเท่านั้น แต่สารหนูยังมีบทบาทในวงการแพทย์อย่างน่าทึ่ง โดยการนำ As₂O₃ หรือ สารหนูไตรออกไซด์ (Arsenic Trioxide) มาใช้รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด โดย As₂O₃ เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ทั้งนี้ การนำมาใช้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและการดูแลของแพทย์อย่างรัดกุมเท่านั้น

สารหนูกับแร่ทองคำ ความสัมพันธ์ทางธรณีวิทยาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

เหมืองทองคำในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยในบางแหล่ง อาจพบแร่อาร์เซโนไพไรต์ ซึ่งเป็นแร่ธรรมชาติที่มีสารหนูเป็นองค์ประกอบหลัก ร่วมอยู่ในหินและสินแร่อื่น ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพธรณีวิทยาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมาตั้งแต่ยุคเก่าก่อน กระบวนการทำเหมืองทองคำจึงไม่ได้เป็นสาเหตุของการเกิดสารหนูโดยตรง แต่สารหนูสามารถสะสมอยู่ในแร่ที่มีความสัมพันธ์กับทองคำ สิ่งสำคัญคือการจัดการและการควบคุมสารหนูในระหว่างการทำเหมืองและการผลิตทองคำ เพื่อลดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำเหมืองในยุคใหม่จึงไม่ได้เป็นเพียงการขุดแร่เพื่อนำทรัพยากรมาใช้ แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อธรรมชาติและสังคมอย่างรอบด้าน ซึ่งอัคราให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการแหล่งแร่อย่างรัดกุม แม้ว่าสายแร่ของเหมืองทองคำชาตรี จะเป็นแหล่งแร่ทองคำที่ไม่สัมพันธ์กับอาร์เซโนไพไรต์ หรือแร่โลหะเป็นพิษอื่น ๆ ก็ตาม โดยดำเนินงานด้วยแนวทางที่รับผิดชอบ พร้อมสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาอุตสาหกรรมกับการรักษาความสมบูรณ์ของธรรมชาติ เพื่อให้ทรัพยากรที่มีค่าถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม
แม้สารหนูมักจะถูกจดจำในฐานะธาตุที่มีความเสี่ยงและต้องใช้อย่างระมัดระวัง แต่หากพิจารณาอย่างรอบด้านจะพบว่าสารหนูเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว และมีบทบาทสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอย่างมาก การนำมาใช้อย่างมีวิจารณญาณ ภายใต้การควบคุมที่เคร่งครัดและความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่เพียงส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนด้านนวัตกรรม แต่ยังเป็นการวางรากฐานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งเป็นแนวทางสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่และชุมชนให้เติบโตควบคู่กันอย่างยั่งยืนในระยะยาว