ชวนเช็กอิน 18 ที่เที่ยวพิจิตร-เพชรบูรณ์ 2568 เมืองรองที่ห้ามพลาด!

อยากเที่ยวในประเทศไทย แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี ? มาลองสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ในช่วงวันหยุดนี้กับ ‘ที่เที่ยวพิจิตร’ และ ‘ที่เที่ยวเพชรบูรณ์’ ดูสักครั้ง ซึ่งนอกจากทั้ง 2 จังหวัดนี้จะเป็นจังหวัดที่ตั้งของเหมืองทองชาตรีแล้ว ภายในจังหวัดก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหาอีกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัดวาอาราม แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตชุมชน ที่บอกเลยว่าต้องห้ามพลาด ! มีโอกาสต้องไปเยือนให้ได้สักครั้ง 

วันนี้เราจะพาคุณไปเช็กอิน 18 สถานที่ท่องเที่ยวสุดปัง รับรองว่าทริปนี้จะเต็มอิ่มทั้งความสุข สนุก แถมได้รูปกลับไปอวดเพื่อนแบบจุก ๆ แน่นอน เอาเป็นว่าปักหมุดให้ไวแล้วรีบตามมาได้เลย !

สถานที่ท่องเที่ยวเพชรบูรณ์ ดินแดนแห่งขุนเขาและทะเลหมอก

1. วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว (เขาค้อ เพชรบูรณ์)

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว (เขาค้อ) เพชรบูรณ์

CR: Facebook วัดผาซ่อนแก้ว

ดินแดนแห่งความศรัทธาและความงามบนยอดเขาสูงแห่งเขาค้อ เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกสุดอลังการที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาเขียวขจีและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ควรค่าแก่การมาสักการะ ตระการตาด้วยเจดีย์พระธาตุ 9 องค์ สีขาวเรียงราย และมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ สีทองอร่าม โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะหลากหลายแขนง ประดับประดาด้วยกระเบื้องโมเสกและเครื่องเบญจรงค์อย่างวิจิตร เหมาะกับสายบุญ ถ่ายรูป คู่รัก ครอบครัว หรือผู้ที่ต้องการความสงบและชื่นชมศิลปะสุด ๆ

วันเวลาเปิด-ปิด: 06:00 – 18:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าใช้จ่าย

2. Hydrangea Cafe Khaokho ทุ่งดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดบนเขาค้อ

Hydrangea Cafe Khaokho ทุ่งดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดบนเขาค้อ

CR: Facebook ไฮเดรนเยีย คาเฟ่ เขาค้อ – Hydrangea Cafe 

จิบกาแฟหอมกรุ่น ท่ามกลางทุ่งไฮเดรนเยียที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดบนเขาค้อ ดื่มด่ำความโรแมนติกของดอกไม้สีสันสดใสที่บานสะพรั่งตัดกับสีเขียวของขุนเขา สูดอากาศบริสุทธิ์และเก็บภาพความประทับใจได้ทุกมุม ถูกใจสายถ่ายรูปอย่างแน่นอน เพราะที่นี่เปรียบเสมือนสวรรค์ของคนรักดอกไม้ ที่เรียกได้ว่ารวมดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดปี เริ่มต้นช่วงหน้าหนาวด้วยแปลงดอกมาร์กาเร็ตออกดอกสีม่วงครามบานสะพรั่งไปทั่วทั้งภูเขา สลับกับทุ่งดอกหญ้าน้ำพุที่สวยคลาสสิค หลังจากนั้นจะหมุนเวียนด้วยดอกไม้ต่าง ๆ มากมาย เช่น ดอกไฮเดรนเยีย ดอกบลูซัลเวีย เรดซัลเวีย ดอกซีโลเซีย ดอกเบญมาศและดอกดาวเรือง ทุ่งดอกไม้แห่งนี้จึงสวยงามตลอดทั้งปี

วันเวลาเปิด-ปิด: สวนเปิด 07:30 – 18:00 น. และคาเฟ่เปิด 08:00 – 17:30 น.

ค่าเข้า: เด็กอายุไม่เกิน 10 ขวบ เข้าฟรี, ผู้ใหญ่ 60 บาท

3. ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์

ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์

เอาใจสายลุย และสายแอดเวนเจอร์ ผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและอากาศหนาวในเวลาเดียวกัน ภูทับเบิก คือตอบโจทย์สุดๆ เพราะอากาศเย็นและสามารถชมทะเลหมอกในยามเช้า สามารถมาร่วมกันพิชิตยอดเขาสูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมสัมผัสอากาศหนาวเย็น ชมวิวทะเลหมอกสุดอลังการที่โอบล้อมไปด้วยไร่กะหล่ำปลีสีเขียวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวม้งบนยอดดอย พร้อมกับดื่มด่ำแสงดาวยามค่ำคืนที่ส่องประกายระยิบระยับเต็มท้องฟ้าเหมือนใกล้แค่เอื้อม โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่ปลายฝนไปตลอดจนช่วงหน้าหนาวได้เลย

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

ค่าเข้า: นำเต็นท์มาเองคิดค่าบำรุงสถานที่คนละ 40 บาท ต่อคืน, เต็นท์นอน 2 คน พร้อมเครื่องนอน ราคา 350 ต่อคืน, เต็นท์นอน 4 คน พร้อมเครื่องนอน ราคา 650 ต่อคืน

4. ทุ่งแสลงหลวง

ทุ่งแสลงหลวง

‘ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย’ คำนี้ไม่เกินจริงเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่และเสน่ห์แห่งธรรมชาติที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ด้วยลักษณะเฉพาะของผืนป่าที่มีทั้งทุ่งหญ้า ป่าสน และมวลหมู่ดอกไม้สวยงาม เพลิดเพลินกับการเดินป่าศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ลุ้นระทึกกับการส่องสัตว์ป่าหายากนานาชนิด เช่น เก้ง กวางและนกหลากหลายสายพันธุ์ สัมผัสความเงียบสงบและผ่อนคลายอย่างแท้จริง ชมวิวทิวทัศน์ของผืนป่าได้สุดลูกหูลูกตา ใกล้ชิดธรรมชาติที่รับรองว่าโดนใจสายแคมปิ้ง สายแอดเวนเจอร์รักธรรมชาติ นักดูนกและช่างภาพสัตว์ป่า เหมาะมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 16:30 น.

ค่าเข้า: ค่าเข้า 40 บาท/คน, รถยนต์ 4 ล้อ 30 บาท/คัน, นอนเต็นท์คนละ 30 บาท

5. ทิวเขาผาโค้ง

ทิวเขาผาโค้ง

CR : องค์การบริหารส่วนตำบลวังโป่ง

ชวนหนีร้อนไปสัมผัสความเย็นจากธรรมชาติ สำรวจความงามของหินงอกหินย้อยภายในทิวเขาผาโค้ง พร้อมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ธรณีวิทยาและโบราณคดีที่ซ่อนอยู่ภายในซึ่งเป็นแหล่งรวมธรรมชาติสุด Unseen กับถ้ำที่มีลักษณะแปลกตากว่า 10 ถ้ำ แต่ที่เปิดให้ชื่นชมความงามจะมีเพียงถ้ำเงิน ถ้ำทอง ถ้ำปากเสือ ถ้ำนาคและถ้ำผาโค้ง ไฮไลท์เด่น ๆ ของที่นี่คือถ้ำเงินที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ที่แม้อากาศด้านนอกจะร้อนแค่ไหน แต่เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำอุณหภูมิก็จะลดลงอยู่ที่ประมาณ 24-25 องศา ชาวบ้านจึงเรียกว่า ‘ถ้ำติดแอร์’ หรือ ‘ถ้ำตู้เย็น’ นั่นเอง อีกหนึ่งไฮไลท์คือถ้ำผาโค้ง หรือผาเจ็ดสี ที่สายถ่ายรูปเช็กอินต้องห้ามพลาด ซึ่งเป็นถ้ำที่เกิดจากการที่หินปูนของภูเขาถูกลมและน้ำกัดเซาะเป็นเวลายาวนาน ทำให้มีลักษณะโค้งมนเป็นม่านหินสูง 20 เมตร ยาว 80 เมตร โดยมักมีน้ำไหลจากด้านบนลงมาตามแนวหน้าผา เมื่อแสงตกกระทบจะเกิดเป็นเฉดสีไล่กันอย่างสวยงาม

วันเวลาเปิด-ปิด: เข้าชมได้ตลอดทั้งวัน

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

สถานที่ท่องเที่ยวพิจิตร เมืองชาละวัน ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

6. บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร

บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร

หัวใจของเมืองพิจิตร บึงน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย สถานที่เที่ยวยอดฮิตของทุกเพศทุกวัย และเป็นแลนด์มาร์กสำคัญแห่งใหม่ของเมืองพิจิตรที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงพลิกโฉมให้กลับมาครึกครื้นเมื่อไม่นานมานี้ เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ และกิจกรรมสันทนาการอย่างการเดินเล่นชิลล์ ๆ ริมบึง การออกไปให้อาหารปลาที่ศาลากลางน้ำ พายเรือเล่นในบึงกว้างชมพระอาทิตย์ตกดิน หรือออกกำลังกายปั่นจักรยานรับลมยามเย็น เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ทำให้ได้สัมผัสวิถีชีวิตเรียบง่ายริมน้ำ ที่สำคัญบึงสีไฟแห่งนี้ยังมีประติมากรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างจระเข้ยักษ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองพิจิตรไว้เป็นจุดเช็กอินแลนด์มาร์กไว้ด้วย

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

7. อุทยานเมืองเก่าพิจิตร

อุทยานเมืองเก่าพิจิตร

CR : องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองเก่าอำเภอเมืองพิจิตร

ชวนคุณย้อนเวลากลับไปในอดีต ณ เมืองพิจิตรเก่า สัมผัสร่องรอยอารยธรรมโบราณผ่านซากโบราณสถาน จินตนาการถึงความรุ่งเรืองในอดีตและเรียนรู้ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองพิจิตร โดยอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของเมืองพิจิตรเก่า ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อ พ.ศ. 2478 และได้รับการบูรณะปรับปรุงให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ. 2529 ภายในอุทยานมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น ศาลหลักเมือง ซึ่งเป็นอาคารไม้ทรงไทยโบราณ วัดมหาธาตุ วัดเก่าแก่ที่มีเจดีย์ทรงดอกบัวตูมเป็นเอกลักษณ์ และถ้ำชาละวัน ตำนานพื้นบ้านชื่อดังของจังหวัดพิจิตร สายวัฒนธรรม ชอบชื่นชมความงามของศิลปะและอารยธรรมไม่ควรพลาด

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 16:30 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

8. ชุมชนย่านเก่าวังกรด

CR : ย่านเก่าวังกรด

เสน่ห์แห่งวันวาน ณ ชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำน่าน ที่ดึงดูดให้ผู้คนตบเท้าเข้ามาชมบ้านไม้โบราณที่มีสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม เดินเล่นสบายๆ แวะชิมอาหารอร่อยและเลือกซื้อสินค้าพื้นเมือง และอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดคือ ‘บ้านหลวงประเทืองคดี’ บุคคลสำคัญของชุมชนวังกรด ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นหลังแรกแห่งชุมชนวังกรด ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่บอกเล่าเรื่องราวของเมืองพิจิตรในอดีต

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

9. วัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร

CR : วัดโพธิ์ประทับช้าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

เอาใจสายบุญกับสถานที่ท่องเที่ยงจังหวัดพิจิตร วัดโพธิ์ประทับช้างเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ที่ ๘ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) ที่อยากชวนคุณมาชมพระอุโบสถขนาดใหญ่ที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา และสักการะต้นตะเคียนใหญ่อายุหลายร้อยปีที่เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ บรรยากาศโดยรอบที่โอบล้อมด้วยความสงบร่มเย็นและความขลังของสถานที่ นอกจากนี้บริเวณวัดยังมักมีนกแก้วโม่ง นกแก้วกะลิงและนกแขกเต้า แวะเวียนมาอาศัยอยู่ด้วย ใครที่ชอบดูไม้ส่องนกไม่ควรพลาด แถมในช่วงฤดูหนาวเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมของทุกปี ยังมีกิจกรรมล่องเรือชมหิ่งห้อยบริเวณวัดอีกด้วย

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

10. ศาลเจ้าพ่อท่าฬ่อ จังหวัดพิจิตร

ศาลเจ้าพ่อท่าฬ่อ จังหวัดพิจิตร

CR : ศาลเจ้าแม่ทับทิมท่าฬ่อ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

ศูนย์รวมความศรัทธาของชาวพิจิตรและนักท่องเที่ยว ศาลเจ้าพ่อท่าฬ่อ หรือศาลเจ้าแม่ทับทิมท่าฬ่อ เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ริมแม่น้ำน่านที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ โดยส่วนมากผู้คนมักนิยมมากราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลในเรื่องโชคลาภ การค้าขายและการเดินทางให้ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลงานประจำปีที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ ตามตำนานเล่าว่า สมเด็จพระเจ้าเสือแห่งกรุงศรีอยุธยาเคยเสด็จมาประทับ ณ บริเวณนี้ และทรงพบกับแสงสีทองเปล่งประกาย จึงได้ทอดพระเนตรดูก็พบว่าเป็นศาลเจ้าแม่ทับทิม จึงทรงให้สร้างศาลขึ้นใหม่และมีการนำไม้ตะเคียนใหญ่มาทำเป็นเสาศาล พร้อมทั้งบวงสรวงตามประเพณี 

วันเวลาเปิด-ปิด: 06:00 – 18:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

11. วัดบางคลาน

วัดบางคลาน

CR : วัดหิรัญญาราม-วัดบางคลาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

วัดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งยุครัตนโกสินทร์ตอนกลางที่คนไทยเคารพนับถือ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านวิทยาคมโดยเฉพาะวิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเมตตามหานิยม วัตถุมงคลของท่าน เช่น รูปหล่อ เหรียญและตะกรุด เป็นที่เสาะแสวงหาของผู้คนมากมาย นอกจากนี้ หลวงพ่อเงินยังเป็นที่เคารพนับถือในฐานะหมอยาที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยสมุนไพร โดยเฉพาะโรคอหิวาตกโรคที่ระบาดในสมัยนั้น ท่านได้ช่วยเหลือผู้คนไว้เป็นจำนวนมากจนได้รับสมญานามว่า ‘เทพเจ้าแห่งโพทะเล’ ปัจจุบันวัดบางคลานยังคงเป็นสถานที่สำคัญที่ผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางมาสักการะรูปหล่อหลวงพ่อเงินและรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

12. สถานีรถไฟพิจิตร

สถานีรถไฟพิจิตร

CR : Facebook สถานีรถไฟพิจิตร

สถานที่ที่เป็นมากกว่าสถานีรถไฟ เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางและจุดถ่ายรูปสุดคลาสสิกสุดวินเทจ ด้วยสถาปัตยกรรมอาคารสถานีที่สวยงาม คงกลิ่นอายของอดีตกับอาคารไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง ทาสีเหลืองคาดน้ำตาล ประดับด้วยไม้ฉลุลายอย่างประณีต ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในประเทศไทย เหมาะแก่การแวะถ่ายรูปเช็กอิน โดยเฉพาะมุมมหาชนอย่าง ‘ป้ายสถานีรถไฟพิจิตร’ ที่ใคร ๆ ก็ต้องมาแชะภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก บรรยากาศรอบ ๆ สถานียังคงความคลาสสิก มีร้านค้า ร้านอาหารและรถสามล้อเครื่องให้บริการ เสมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต หากใครมาเที่ยวพิจิตร อย่าลืมแวะมาเช็กอินที่นี่ รับรองว่าได้รูปสวย ๆ กลับไปแน่นอน

วันเวลาเปิด-ปิด: สามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งวันในเวลาราชการ 08:00 – 17:00 น. 

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

13. สถานีรถไฟตะพานหิน

สถานีรถไฟตะพานหิน

สถานีรถไฟที่สวยงามของเมืองพิจิตรอีกหนึ่งแห่งที่ไม่ควรพลาดเช็กอิน! ถ่ายรูป คือ สถานีรถไฟตะพานหิน สถานีรถไฟเก่าแก่ที่มีเสน่ห์ด้วยอาคารสถานีที่มีการออกแบบและก่อสร้างสถาปัตยกรรมสไตล์คลาสสิก ตัวอาคารสถานีเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทาสีเหลืองครีมตัดกับขอบสีน้ำตาล ที่สะท้อนถึงสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 6 ปัจจุบันยังคงเปิดให้ใช้งานอยู่และได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แม้จะเป็นสถานีรองจากสถานีรถไฟพิจิตรแต่ที่นี่ก็มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ มากมายให้ได้เก็บภาพประทับใจ ถือเป็นอีกจุดที่สายเซลฟี่ ถ่ายรูปเช็กอินและชื่นชอบการเดินทางสุดคลาสสิกด้วยรถไฟต้องห้ามพลาด

วันเวลาเปิดปิด: สามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งวันในเวลาราชการ 08:00 – 17:00 น. 

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

14. ดอกกระเจียวยักษ์ รักเขาโล้น

ดอกกระเจียวยักษ์ รักเขาโล้น จังหวัดพิจิตร

CR : สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดพิจิตร

ตื่นตาตื่นใจกับทุ่งดอกกระเจียวยักษ์สีชมพูอมม่วงที่บานสะพรั่งในช่วงฤดูฝน สัมผัสความงาม Unseen ของธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของพิจิตร โดยทุ่งดอกกระเจียวยักษ์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่บ้านรักไทย ตำบลชมพู อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองพิจิตรมากนัก จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถแวะมาเที่ยวชมได้ โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน ที่ดอกกระเจียวยักษ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ดอกกระเจียวแดง” จะพร้อมใจกันบานสะพรั่งทั่วทั้งหุบเขา เปลี่ยนพื้นที่บริเวณนี้ให้กลายเป็นสีชมพูอมม่วง ตัดกับสีเขียวขจีของต้นไม้โดยรอบ เป็นภาพที่สวยงามตระการตา ซึ่งนอกจากจะได้ชมความงามของดอกกระเจียวแล้ว ยังสามารถเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านในชุมชนและซื้อผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นติดไม้ติดมือเป็นของฝากได้อีกด้วย 

วันเวลาเปิด-ปิด: ช่วงฤดูฝน (กรกฎาคม – กันยายน) ควรสอบถามข้อมูลก่อนเดินทาง

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

15. วัดพระพุทธบาทเขาทราย

วัดพระพุทธบาทเขาทราย

CR : วัดเขาทราย 

ปีนเขาสู่ยอดวัด เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทอันศักดิ์สิทธิ์ ชมวิวทิวทัศน์มุมสูงของอำเภอทับคล้อจากพระอุโบสถของวัดพระพุทธบาทเขาทรายที่ตั้งอยู่บนยอดเขาหินปูนได้อย่างชัดเจน ภายในวัดประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองอันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้าน ได้สัมผัสทั้งความเงียบสงบและอากาศบริสุทธิ์ เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจและทำบุญเป็นอย่างยิ่ง มากกว่านั้นยังมีองค์พระพุทธไสยาศน์ (พระนอน) ปรางค์พระพุทธรูปประจำตัวของคนเกิดวันอังคารให้กราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย และอีกวันสำคัญทางศาสนาอย่างวันทำบุญตักบาตรเทโวฯ ที่จะมีพระภิกษุเดินลงมาบิณฑบาตจากยอดวัดทั้ง 2 ด้าน เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ตระการตา สายมูสะสมบุญไม่ควรพลาด  

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

16. วัดเขารูปช้าง

วัดเขารูปช้าง

CR : Facebook AmazingThailand 

วัดเขารูปช้างเป็นทั้งสถานที่ปฏิบัติธรรมและจุดชมวิวเมืองตะพานหินที่สวยงาม สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดย่อม มีหินขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายรูปช้างอยู่บริเวณเชิงเขา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดนั่นเอง ภายในมีบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ เหมาะแก่การมาปฏิบัติธรรม นอกจากนี้บนยอดเขายังเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์สีขาวขนาดใหญ่ทรงระฆังคว่ำ ซึ่งจากจุดนี้สามารถชมทัศนียภาพของเมืองตะพานหินในมุมสูงได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินจะยิ่งสวยงามอีกเท่าตัว

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

17. วัดท่าหลวง จังหวัดพิจิตร

วัดท่าหลวง พิจิตร

ศูนย์รวมจิตใจอีกหนึ่งแห่งของชาวพิจิตรคือ วัดท่าหลวง เป็นวัดสำคัญของจังหวัดพิจิตร พระอารามหลวงริมแม่น้ำน่านมีอายุเก่าแก่กว่า 200 ปี ภายในพระอุโบสถประดิษฐานหลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยเชียงแสนที่หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่มีศิลปะเชียงแสนอันงดงามเป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่จัดการแข่งขันเรือยาวประเพณี ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของจังหวัดพิจิตรอีกด้วย 

วันเวลาเปิดปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

18. วัดศรีศรัทธาราม

วัดศรีศรัทธาราม

CR : พิจิตรไกด์.คอม

วัดศรีศรัทธาราม เดิมชื่อ ‘วัดห้วยยาว’ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ตำบลป่ามะคาบ เป็นวัดที่มีความสวยงามโดดเด่น สังเกตได้ตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าวัดสีขาวขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่อยู่ด้านใน และภายในวัดมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่สีทองอร่ามเป็นประธาน และมีรูปปั้นพญานาค 7 เศียร 2 ตน สีทองเหลืองอร่าม ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมแวะมาทำบุญ กราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและพักผ่อนหย่อนใจไม่ขาดสาย

วันเวลาเปิดปิด: 06:00 – 18:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 18 สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดพิจิตรและสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่เราคัดสรรมาฝากกัน จะเป็นสายบุญ สายชิลล์ สายแอดเวนเจอร์ หรือสายกินก็มีครบจบในทริปเดียว ! ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ รับรองว่าจะได้สัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แตกต่าง อิ่มเอมทั้งกายและใจ ได้รูปสวย ๆ กลับไปอวดเพื่อน ๆ แน่นอน รีบแพ็กกระเป๋าแล้วออกไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของพิจิตรและเพชรบูรณ์ด้วยตัวคุณเอง แล้วจะรู้ว่าเมืองรองแห่งนี้ มีดีกว่าที่คิด !

ไซยาไนด์คืออะไร? ทำความรู้จักสารเคมีที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด

ไซยาไนด์… แค่ได้ยินชื่อหลายคนคงนึกกลัวจากข่าวที่เกิดขึ้น จนทำให้เกิดความระแวงอยู่ไม่น้อย แต่รู้หรือไม่ว่า ‘ไซยาไนด์’ เป็นสารเคมีที่อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดเสียอีกด้วย บทความนี้เราเลยจะพาคุณไปทำความรู้จักไซยาไนด์กัน ตั้งแต่ว่ามันคืออะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร สามารถพบได้ที่ไหนบ้าง ในธรรมชาติรอบตัวเรามีไซยาไนด์หรือไม่ อันตรายแค่ไหน รวมถึงประโยชน์ดี ๆ อย่างการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ และไขข้อข้องใจเกี่ยวกับไซยาไนด์ที่หลายคนอาจเข้าใจผิดให้ครบแล้วที่นี่

ทำความรู้จักไซยาไนด์ สารประกอบเคมี… ที่ใคร ๆ ก็มองว่าอันตราย

ไซยาไนด์ถูกจัดเป็นสารพิษอันตรายชนิดที่ 3 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่งหากครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต มีโทษทั้งจำและปรับ โดยในไซยาไนด์ตามโครงสร้างทางเคมี คือเป็นสารประกอบเคมีที่มี “ไซยาไนด์ไอออน (CN-)” เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอน (C) และไนโตรเจน (N) ซึ่งมีหลายชนิด เป็นได้ทั้งของแข็งในรูปแบบก้อนผลึก หรือผงสีขาว เป็นของเหลวสีใสไม่มีกลิ่น หรือในรูปแบบก๊าซที่ไม่มีสีแต่บางคนจะได้กลิ่นคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ 

และความจริงอันน่าเหลือเชื่อที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน… ว่ารอบตัวเรานั้นต่างรายล้อมไปด้วยไซยาไนด์อยู่ แบบที่เรียกได้ว่าแฝงตัวได้อย่างแนบเนียนเลยทีเดียว

ไซยาไนด์ในธรรมชาติ การแฝงตัว… ที่ใกล้ชิดกว่าที่คุณคิด

ไซยาไนด์ไม่ได้มีแค่ในห้องทดลองหรือโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังพบได้ในธรรมชาติ แถมยังอยู่ใกล้ตัวกว่าที่ใครหลายคนคิดอีกเสียด้วยซ้ำ

ไซยาไนด์ในธรรมชาติ ไซยาไนด์ในผักและผลไม้
  • พืชผักและผลไม้ มีพืชผักและผลไม้อย่างน้อย 1,000 ชนิด ที่เราคุ้นเคยกันดีซึ่งแน่นอนว่าสามารถสังเคราะห์ไซยาไนด์ได้ ตัวอย่างเช่น ฝ้าย ปอ มันฝรั่ง ถั่วฝักยาว ถั่วเหลือง หัวผักกาด ถั่วลันเตา กวางตุ้ง มันสำปะหลัง หน่อไม้สด ลูกท้อ ลูกแพร์ เชอร์รี ลูกพลัม ข้าวโพด เมล็ดแอปเปิ้ลและอัลมอนด์ เป็นต้น
  • สัตว์บางชนิด สัตว์บางชนิดก็สามารถสังเคราะห์ไซยาไนด์เพื่อป้องกันตัวได้ เช่น ตะขาบ กิ้งกือ เต่าทอง ผีเสื้อทั่วไปและผีเสื้อกลางคืน เป็นต้น
  • อาหารและของใช้ใกล้ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ เกลือ บุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า แม้กระทั่งกางเกงยีนส์ที่เราสวมใส่กัน

ไซยาไนด์ฟังดูอันตราย แล้วทำไม เราถึงไม่เป็นอะไรล่ะ ! 

แม้เราจะรู้แล้วว่าไซยาไนด์อยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมไซยาไนด์เหล่านั้นถึงไม่ส่งผลอะไรกับเราเลย ? 

นั่นเป็นเพราะไซยาไนด์มีหลายชนิด บางชนิดไม่เป็นพิษ บางชนิดมีระดับความเป็นพิษสูง โดยค่าเฉลี่ยของปริมาณไซยาไนด์ที่ทำให้เสียชีวิตเมื่อรับทางปากคือ 1-2 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งหากร่างกายรับไซยาไนด์ในปริมาณน้อยกว่าที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต แต่ก็สามารถทำให้เกิดอาการร่างกายอ่อนแรง ปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว ชักและอาจหมดสติได้ โดยความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณ ชนิด และระยะเวลาในการรับสัมผัสด้วย และนี่ก็คือตัวอย่างปริมาณไซยาไนด์ในธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเราอย่างพืชผักและผลไม้ที่เรายกตัวอย่างมาให้ ดังนี้

ไซยาไนด์ในผักและผลไม้

หมายเหตุ:

  • ข้อมูลในตารางเป็นค่าเฉลี่ยของปริมาณไซยาไนด์ในพืชผักซึ่งอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ฤดูกาล และสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูก
  • การรับประทานพืชผักในปริมาณปกติไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากปริมาณไซยาไนด์อยู่ในระดับที่ต่ำมากและร่างกายสามารถขับออกได้เอง
  • ควรล้าง ปอกเปลือก หรือปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนก่อนรับประทาน เพื่อลดปริมาณไซยาไนด์และสารพิษตกค้างอื่น ๆ ที่มีในผักและผลไม้ตามธรรมชาติ เช่น หน่อไม้ ผักกวางตุ้ง มันสำปะหลัง ถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น

การใช้ไซยาไนด์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ประโยชน์และความปลอดภัยที่ต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมพิเศษ

ในทางอุตสาหกรรมไซยาไนด์ถือเป็นสารเคมีสำคัญที่ใช้ในกระบวนการผลิต โดยไซยาไนด์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ ดังนี้

  • การทำเหมือง: ใช้ในการสกัดทองคำและโลหะมีค่าอื่น ๆ โดยถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองทองตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการละลายทองคำได้เสถียรที่สุด
  • การผลิตพลาสติก: ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลาสติก เช่น ไนลอน อะคริลิค
  • การชุบโลหะ: ใช้ในกระบวนการชุบโลหะเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทาน และความสวยงาม เช่น การชุบทอง ชุบเงิน ชุบโครเมียม เป็นต้น
  • การผลิตกระดาษ: ใช้ในกระบวนการฟอกเยื่อกระดาษโดยเฉพาะโซเดียมไซยาไนด์ เพื่อกำจัดสารลิกนิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้กระดาษมีสีเหลือง ช่วยให้ได้กระดาษที่ขาว สะอาด และมีคุณภาพ
  • การผลิตหนังเทียม: ใช้ในกระบวนการผลิตหนังเทียม เพื่อปรับสภาพผิวและเพิ่มความทนทานของหนังเทียม

ทั้งนี้ การใช้ไซยาไนด์ในแต่ละอุตสาหกรรมต่างมีข้อกำหนดความปลอดภัยมาตรฐานระดับสากล ดังเช่น ที่เหมืองทองชาตรีจากอัครา เรามีนวัตกรรมการควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์ที่ดูแลโดยผู้ชำนาญการและมากประสบการณ์, มีการใช้ระบบ Sparge ร่วมกับเทคโนโลยีในการขนส่งและจัดเก็บไซยาไนด์ (Isotainer) ที่ปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสและป้องกันการรั่วไหล รวมถึงเทคโนโลยีในการคำนวณค่าไซยาไนด์ที่ต้องใช้ในการผลิตแต่ละครั้ง เพื่อให้นำมาใช้ได้อย่างใกล้เคียงความต้องการที่สุด, การกักเก็บกากแร่โดยไม่มีการปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมที่ปิดล้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า TSF (Tailings Storage Facilities) นวัตกรรมมาตรฐานโลกที่ป้องกันการรั่วซึมถึง 5 ชั้น ให้ความมั่นใจว่าไม่มีการรั่วซึมสู่ภายนอก ซึ่งรับรองโดยหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection Division of Nevada State, USA) พร้อมการออกแบบให้ไซยาไนด์ที่หลงเหลือจากกระบวนการสกัดทองคำสลายตัวด้วยความร้อนและแสงจากดวงอาทิตย์ โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยรอบ อีกทั้งยังมีการหมุนเวียนน้ำจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่โดยไม่มีการปล่อยออกไป รวมถึงการมีไซยาไนด์แอนตี้โดส หรือยาต้านพิษไซยาไนด์ ที่สำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับไซยาไนด์ สารหนูและแมงกานีส
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าไซยาไนด์เป็นโลหะหนักเช่นเดียวกับสารหนูและแมงกานีส แต่จริง ๆ แล้วไซยาไนด์เป็นสารประกอบเคมีที่ใช้ในการสกัดทองคำออกจากแร่เท่านั้น ส่วนสารหนูและแมงกานีสเป็นโลหะหนักที่สามารถพบเจอได้ตามแหล่งธรรมชาติ เช่น ในหินแร่ต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิตเหมืองทองคำ

ไซยาไนด์ สารเคมี 2 ด้านที่มีประโยชน์แต่ก็ยังมีความอันตราย การใช้ไซยาไนด์จึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและจัดการอย่างถูกวิธี  เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อผู้ปฏิบัติงาน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม

ไซยาไนด์ เรียกได้ว่าเป็นสารเคมีที่อยู่คู่กับโลกใบนี้มาเนิ่นนาน แถมยังอยู่ใกล้ตัวเสียจนน่าตกใจดังเช่นที่เราให้ข้อมูลไว้ข้างต้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้จะมีฤทธิ์รุนแรงแค่ไหน ก็ยังมีบทบาทสำคัญในวงการอุตสากรรมไม่น้อย ดังนั้น การทำความเข้าใจและเรียนรู้วิธีการป้องกันตัวเองจากพิษของไซยาไนด์จากธรรมชาติ และการใช้งานอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยให้เราสามารถใช้ประโยชน์และอยู่ร่วมกับไซยาไนด์ได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อตนเองและสิ่งแวดล้อม

แหล่งอ้างอิง:
– กรมอนามัยและควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุข
– การศึกษารวบรวมความรู้เรื่องไซยาไนด์ และเกณฑ์มาตรฐานสากลเกี่ยวกับการใช้สารไซยาไนด์ รศ.ดร.พษิณุ บุญนวล, รศ.ดร.เกรียงศักด์ศรีสุข และโพยม สราภิรมย์
– ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับไซยาไนด์ จุฑารัตน์ อาชวรัตน์ถาวร สำหนักอุตสาหกรรมพื้นฐาน กรมอุตสาหกรรพื้นฐานและการเหมืองแร่
– Agency for Toxic Substances and Disease Registry (ATSDR)
– World Health Organization (WHO)
– Food Standards Australia New Zealand (FSANZ)

Master K EP.5 1 ปีเต็มกับการทดลองในบ่อเหมือง C ของมาสเตอร์ K จะเผยให้เห็นอะไรบ้าง?

1 ปีเต็มกับการทดลองในบ่อเหมือง C ของมาสเตอร์ K จะเผยให้เห็นอะไรบ้าง? 🤔 จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อปลูกพืช 🌾และเลี้ยงปลา🐟โดยใช้น้ำจากบ่อเหมืองนี้? ตามไปหาคำตอบด้วยกันในคลิปนี้เลย! 💙💛

อัครายืนยันบ่อกักเก็บกากแร่ไม่รั่ว การดำเนินงานเป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมแสดงหลักฐานยืนยันความปลอดภัย

ตามที่มีการรายงานข่าวศาลปกครองกลาง (“ศาล”) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาว่า ได้มีคำพิพากษายกฟ้องกรณีที่บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (“กพร.”) ที่สั่งให้บริษัทดำเนินการแก้ปัญหาการรั่วซึมของบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 และแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในบริเวณพื้นที่โครงการให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (“คำสั่ง”) นั้น บริษัทขอชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของทุกฝ่าย ดังนี้

  • คำวินิจฉัยดังกล่าวเกิดจากการที่บริษัทได้ฟ้องร้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของ กพร. เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561 ที่ให้บริษัทดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่มีความชัดเจน ไม่มีรายละเอียดที่สามารถปฎิบัติได้ โดยคำสั่งได้อ้างผลการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหา ข้อขัดแย้ง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากการทำเหมืองแร่ทองคำชาตรีของบริษัท ที่มีมติโดยอาศัยข้อมูลจากรายงานการศึกษาที่มีกรรมการให้ความเห็นชอบ 7 คน และไม่เห็นชอบ 6 คน งดออกเสียงมากกว่า 10 คน จากจำนวนกรรมการทั้งหมดที่ไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากไม่มีการนับองค์ประชุม ถือได้ว่ามติดังกล่าวไม่เป็นเอกฉันท์ และมีผู้ออกเสียงไม่ถึงครึ่งของจำนวนกรรมการที่มีอยู่ในคณะ ประการสำคัญ คณะกรรมการชุดดังกล่าวยังไม่ได้ให้การรับรองรายงานการประชุมครั้งนี้ นอกจากนี้ ยังมีข้อที่น่าสังเกตว่า ยังมีความเห็นแย้งของนักวิชาการที่ประกอบเป็นคณะทำงานย่อยผู้เชี่ยวชาญฯ ที่เสนอเรื่องขึ้นมา แสดงไว้เป็นลายลักษณ์อักษรที่ปกรองของรายงานว่า “อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อคิดเห็นของคณะทำงานย่อยผู้เชี่ยวชาญฯ บางท่านที่มีความเห็นแตกต่างจากรายงานฉบับสมบูรณ์ ซึ่งสามารถพิจารณารายละเอียดข้อคิดเห็นของผู้ที่มีความเห็นแตกต่างดังกล่าวในภาคผนวกของรายงานฉบับสมบูรณ์” อันแสดงให้เห็นว่า แม้แต่คณะทำงานย่อยผู้เชี่ยวชาญฯ ที่กำกับดูแลการจัดทำรายงานนี้ ก็ยังไม่สามารถสรุปสาระสำคัญของรายงานได้
  • อย่างไรก็ดี ในระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งบริษัท และ กพร. ได้มีความพยายามหาทางออกในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบการตามแนวทางของรัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งมีการร่วมกันแก้ไขปัญหาที่ดำรงอยู่ โดยมีการปฎิบัติตาม พ.ร.บ. แร่ 2560 และกรอบนโยบายบริหารจัดการแร่ทองคำ พ.ศ. 2560 เช่น การจัดทำข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน การจัดทำแนวพื้นที่กันชนการทำเหมือง การจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่าการประกอบการของบริษัทเป็นไปตามมาตรฐานสากล และไม่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดทำแผนการปิดบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 และแผนการฟื้นฟูบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 ซึ่งเป็นข้อสั่งการของ กพร. เพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ตามหนังสือ ที่ อก 0512/4801 ลงวันที่ 14 กันยายน 2560 ให้ กพร. พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว และบริษัทดำเนินงานตามแผนเหล่านี้ต่อเนื่อง โดยมีการติดตามตรวจสอบ ตรวจวัด อย่างเข้มงวดเป็นรายไตรมาสจากคณะเจ้าหน้าที่ซึ่งประกอบด้วย กพร. สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เขต 5 พิษณุโลก สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 4 นครสวรรค์ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเพชรบูรณ์และพิจิตร รวมทั้งผู้แทนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอีกจำนวนหนึ่ง จนบริษัทได้รับอนุญาตต่ออายุประทานบัตร และใบอนุญาตประกอบโลหกรรมในปี พ.ศ. 2564 และ 2565 ตามลำดับ
  • สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 นั้น บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้จัดทำโครงการ “ตรวจสอบเสถียรภาพและโอกาสการรั่วซึมของบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1” เพื่อให้เกิดความชัดเจนและมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเป็นระบบ โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งการดำเนินการศึกษาเป็นไปตามแผนงานที่เสนอ และได้รับความเห็นชอบในที่ประชุมที่มีผู้บริหารของ กพร. และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565 ผลการศึกษาของโครงการดังกล่าวมีข้อสรุปรายงานลงวันที่ 13 กันยายน 2567 ว่า บ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 ของบริษัทไม่ได้รั่วซึมแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทได้ส่งรายงานฉบับดังกล่าวให้ กพร. แล้ว เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567
  • นอกจากนี้ ภายหลังได้กลับมาประกอบกิจการเมื่อเดือนมีนาคม 2566 บริษัทได้ดำเนินการทุกอย่างภายใต้การกำกับดูแลและตรวจสอบจากหน่วยงานราชการที่มีอำนาจหน้าที่อยู่เสมอ รวมทั้งจัดให้มีการตรวจสุขภาพประจำปีให้แก่พนักงานและประชาชนรอบเหมืองในรัศมี 5 กิโลเมตร ซึ่งผลการตรวจโลหิตและปัสสาวะจากห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลรามาธิบดี ไม่พบสิ่งผิดปกติอันบ่งชี้ถึงการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิตประจำวัน
  • บริษัทยังมีรายงานการตรวจสอบมาตรฐานการดำเนินกิจการเหมืองแร่ทองคำชาตรี โดยบริษัทที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เป็นผู้คัดเลือก คือ แบร์ โดแบร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด (Behre Dolbear International Limited) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบและประเมินการปฏิบัติงานของเหมืองทองทั่วโลกยาวนานกว่า 100 ปี มาสอบทานการดำเนินงานของบริษัทอย่างละเอียดทุกขั้นตอน โดยผลการประเมินพบว่า มีความปลอดภัย เป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในทุกขั้นตอนทำให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม เทียบเท่าเหมืองแร่ชั้นนำทั่วโลก และไม่พบการรั่วไหลของโลหะหนักจากบ่อกักเก็บกากแร่สู่ชุมชนแต่อย่างใด
  • นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ หัวหน้าผู้จัดการทั่วไปของบริษัท กล่าวว่า ประเด็นที่เป็นข้อพิพาทนั้นเป็นเรื่องที่เกิดมาก่อนหน้านี้หลายปี แต่เพิ่งมีคำสั่งของศาลปกครองออกมา ในขณะที่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมามีความพยายามจากทั้งสองฝ่ายในการแก้ไขปัญหาด้วยดี บริษัทได้ปฏิบัติตามคำสั่งและคำแนะนำต่างๆ อย่างเคร่งครัด ในส่วนของคดีความนั้น ขณะนี้ ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและฝ่ายกฎหมายของบริษัทกำลังพิจารณาแง่มุมต่างๆ เพื่อหาข้อสรุปทั้งในเชิงข้อกฎหมาย และในเชิงเทคนิควิชาการในรายงานที่คำสั่งของ กพร. อ้างถึง อีกทั้งบริษัทยังมีรายงานการศึกษาจากหน่วยงานกลางที่ กพร. ให้ความเห็นชอบข้อเสนอโครงการยืนยันผลว่า บ่อกักเก็บเก็บกากแร่ของบริษัทไม่มีการรั่วซึมแต่อย่างใด นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลภายในของบริษัทที่ได้เก็บรวบรวมจากการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ กพร. และหน่วยงานกำกับดูแลเสมอมา ขอยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การดำเนินงานของบริษัทมีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งพนักงานและครอบครัว รวมถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทราบดี และให้การสนับสนุนบริษัทด้วยดีเสมอมา

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ คุณนฤอร เกลาเทียน 08-9522-6169 ฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ. อัครา รีซอร์สเซส

เจาะลึกเรื่องทองคำบริสุทธิ์และทองเค จากสายแร่สู่เครื่องประดับ

ไขความลับ ประกายแห่งความล้ำค่ากับ “ทองคำ” โลหะจากธรรมชาติที่ทรงคุณค่าและเป็นที่ปรารถนาของผู้คนทั่วโลก ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นทั้งทางวิทยาศาสตร์และความงดงามเปล่งประกายเหนือกาลเวลา จึงไม่น่าแปลกใจที่ทองคำจะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและเป็นที่ต้องการในทุกมุมโลก ยิ่งใกล้วันปีใหม่แบบนี้หลายคนอาจกำลังมองหาของขวัญล้ำค่าเพื่อมอบให้กับคนพิเศษ แน่นอนว่าทองคำเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมเสมอ 

หากแต่ท่ามกลางกระแสข่าว “ทองคำแท้ ทองคำปลอม” เมื่อไม่นานมานี้ได้สร้างความกังวลใจให้กับประชาชนที่สนใจลงทุนกับทองคำด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ไม่น้อย เหมืองทองอัคราผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำจึงขออาสาพาทุกคนมาเจาะลึกเรื่องทองคำ เพื่อสร้างความเข้าใจและเสริมความมั่นใจในการเลือกซื้อทองคำเป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่และเทศกาลวันสำคัญต่าง ๆ ตั้งแต่แหล่งกำเนิด กระบวนการสกัด ความแตกต่างระหว่างทองคำบริสุทธิ์ ทองเค และทองปลอม รวมถึงความมุ่งมั่นของเราในการผลิตทองคำคุณภาพระดับโลกส่งสินค้าไทยสู่สายตาชาวโลกทองคำ เหมืองทอง

ทองคำ… กำเนิดแห่งความล้ำค่า

ทองคำ เป็นแร่ชนิดหนึ่งที่เกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาที่ซับซ้อน โดยมักพบในสายแร่ควอตซ์ หินแกรนิต และแหล่งลานแร่ ลักษณะเด่นของทองคำ คือ มีสีเหลืองทองอร่าม มีความอ่อนตัว สามารถดัดแปลงรูปทรงได้ง่าย ทนทานต่อการกัดกร่อนและไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เพียงแค่ความโดดเด่นทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ทองคำยังมีบทบาทสำคัญในหลากหลายอารยธรรม หนึ่งในนั้นคือ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความมีอำนาจในสังคมไทย หรือแม้แต่ทั่วโลกเองก็ตาม 

โดยครั้งหนึ่งทองคำเคยถูกใช้เป็น ‘ระบบมาตรฐานทองคำ’ (Gold standard) ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานการเงินระหว่างประเทศระบบแรกของโลก แม้ว่าจะถูกยกเลิกไปแล้วแต่ทองคำก็ยังมีความสำคัญต่อระบบการเงินมาโดยตลอด อีกทั้งทองคำยังถูกจัดให้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ที่ไม่ว่าจะมีวิกฤตระดับโลกน่าเป็นห่วงขนาดไหน ทองคำก็จะเป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่มีมูลค่าพุ่งขึ้นสวนทางกับวิกฤตที่เกิดขึ้นเสมอ รวมถึงทองคำมักถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา ประเพณีต่าง ๆ และเป็นเครื่องประดับที่แสดงถึงฐานะและความสง่างามอีกด้วย

จากสินแร่สู่ทองคำ เบื้องหลังความงดงามและมั่งคั่ง

การสกัดทองคำ ทองคำจากสินแร่

การสกัดทองคำออกจากสินแร่เป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนเครื่องมือ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย โดยขั้นตอนหลักในการสกัดทองคำออกจากสินแร่มี ดังนี้

  1. การบดละเอียด: นำสินแร่ทองคำมาทำการบดให้ละเอียดเพื่อเปลี่ยนรูปเป็นสินแร่เปียก
  2. การสกัด: ใช้โซเดียมไซยาไนด์ในการชะละลายทองคำออกจากสินแร่ โดยมีเม็ดถ่านกะลามะพร้าวที่จะดูดซับทองคำเอาไว้ ก่อนจะนำไปแยกเป็นสารละลายทองคำเข้มข้น และใช้เซลล์ไฟฟ้าในการดักจับโลหะทองคำก่อนที่จะนำไปหลอมเป็นแท่งโลหะทองคำ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือนวัตกรรมในการควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์
  3. การทำให้บริสุทธิ์: นำโลหะทองคำที่สกัดได้ไปผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ ก่อนจะถูกนำไปทำเป็นทองรูปพรรณ หรือนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

ที่เหมืองทองอัครา เราตระหนักถึงความสำคัญของการทำเหมืองอย่างมีความรับผิดชอบ ด้วยการรักษาสถิติการเป็นผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำที่ปลอดภัยสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก เราจึงเลือกใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น นวัตกรรมการควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์ การกักเก็บกากแร่โดยไม่มีการปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม  บ่อกักเก็บกากแร่ที่มีระบบป้องกันการรั่วซึมที่ได้การรับรองมาตรฐานระดับสากล การหมุนเวียนน้ำจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ นวัตกรรมการระเบิดที่ช่วยลดเสียง ลดฝุ่น เพื่อลดผลกระทบต่อธรรมชาติและชุมชนโดยรอบ

ไขข้อข้องใจทองคำแท้ ทองคำบริสุทธิ์ vs. ทองเค vs. ทองปลอม ต่างกันอย่างไร? รู้ไว้จะได้ไม่โดนหลอก

ในโลกของทองคำ “ความบริสุทธิ์” คือ สิ่งสำคัญที่สุดที่กำหนดทั้งมูลค่าและคุณสมบัติของทองคำ โดยทองคำบริสุทธิ์ ทองเค และทองปลอมล้วนมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

1. ทองคำบริสุทธิ์ (24K) มาตรฐานแห่งความล้ำค่า

ทองคำบริสุทธิ์ (24K)

ทองคำบริสุทธิ์ หรือทอง 24K เป็นทองคำแท้มีค่าความบริสุทธิ์สูงสุดถึง 99.99% หมายความว่าในทองคำ 1,000 ส่วน จะมีทองคำบริสุทธิ์ 999.9 ส่วน แต่ทั้งนี้ ตามมาตรฐานของประเทศไทย มีการใช้มาตรฐานความบริสุทธิ์ของทองคำที่ 96.5% หรือ 23.16K ที่ถูกกำหนดโดยสมาคมค้าทองคำและสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)

ซึ่งลักษณะของทองคำบริสุทธิ์ หรือทอง 24K มักจะมีสีเหลืองเข้ม เนื้ออ่อนนิ่ม ดัดแปลงรูปทรงได้ง่าย เป็นรอยขีดข่วนได้ง่าย เพียงแค่กัดก็อาจมีรอยได้แล้ว จึงมักนิยมนำไปทำทองคำแท่ง เหรียญทองคำและเครื่องประดับบางประเภท เช่น สร้อยคอ กำไล 

2. ทองเค (Karat Gold) ความแข็งแกร่งที่ลงตัว

ทองเค (Karat Gold)

ทองเค คือ ทองคำที่มีการผสมกับโลหะอื่น ๆ ทำให้ค่าความบริสุทธิ์ย่อมลดลงตามสัดส่วนของโลหะที่ผสม โดยคำว่า ‘เค หรือ K’ ย่อมาจากกะรัต (Karat) เป็นตัวที่บ่งบอกว่ามีสัดส่วนของทองคำบริสุทธิ์จำนวนเท่าไหร่นั่นเอง ซึ่งโลหะอื่น ๆ ที่นิยมนำมาผสมส่วนใหญ่ คือ โลหะเงินหรือทองแดง เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ความทนทานและเปลี่ยนสีสันให้กับตัวทองคำ โดยส่วนมากนำไปใช้ในวงการอุตสาหกรรมเครื่องประดับอัญมณี อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงการคมนาคมและการสื่อสาร ซึ่งทองเคที่ถูกนำมาใช้บ่อย ๆ หรือมักคุ้นหูมีดังนี้

  • ทอง 18K มีทองคำ 75% ให้เฉดสีเหลืองขาว นิยมใช้ทำเครื่องประดับ
  • ทอง 14K มีทองคำ 58.33% ให้เฉดสีเหลืองขาว นิยมใช้ทำเครื่องประดับและใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
  • ทอง 9K มีทองคำ 37.5% ให้เฉดสีเหลืองซีด นิยมใช้ทำเครื่องประดับที่มีราคาย่อมเยาและใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

3. ทองปลอม ของเลียนแบบที่ต้องระวัง

ทองปลอม ของเลียนแบบที่ต้องระวัง

เพราะทองคำเป็นสิ่งที่มีมูลค่า จึงดึงดูดเหล่าผู้ไม่ประสงค์ดีและทำให้เกิดการปลอมทองเพื่อหลอกขายให้เห็นได้บ่อยครั้ง ซึ่งทองปลอม คือ ทองที่มีค่าความบริสุทธิ์ต่ำมาก ๆ หรือเป็นการนำโลหะและวัสดุอื่น ๆ มาชุบ หรือเคลือบด้วยทองคำ เพื่อให้มีสี น้ำหนักและรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายทองคำแท้ แต่คุณสมบัติและมูลค่านั้นแตกต่างกันมาก โดยการสังเกตทองปลอม-ทองแท้ ให้ตรวจสอบเบื้องต้นด้วยวิธีเหล่านี้

  • สังเกตตราประทับ ทองคำแท้จะมีตราประทับแสดงค่าความบริสุทธิ์ เช่น 96.5%, 99.99% หรือ 24K, 18K
  • ทดสอบด้วยแม่เหล็ก โดยทองคำแท้จะไม่ดูดติดกับแม่เหล็ก
  • ทดสอบความแข็ง เนื่องจากทองคำบริสุทธิ์จะอ่อนนิ่ม เมื่อขูดหรือกัดเบา ๆ จะเห็นรอย
  • ใช้น้ำยาตรวจสอบทอง ซึ่งวิธีนี้อาจต้องให้ร้านทอง หรือผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบให้
  • ราคาสมเหตุสมผล เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวมันเองและมีการกำหนดราคากลางโดยสมาคมค้าทองคำ ดังนั้น หากพบราคาทองคำที่ต่ำกว่าราคากลาง หรือมีโปรโมชันราคาถูกมาก ๆ นั่นอาจเป็นทองคำปลอมได้

อัครา… เหมืองทองระดับโลกของไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำคุณภาพเพื่อคนไทย สู่สายตาโลก

ที่เหมืองทองอัครา เรามุ่งมั่นในการผลิตทองคำคุณภาพตามมาตรฐานสากล และด้วยวิสัยทัศน์ “ทองไทย เพื่อคนไทย สู่สายตาโลก” อัครา จึงได้ส่งทีมงานไปร่วมทำงานกับ บริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด หรือ ‘พีเอ็มอาร์ (PMR)’ เพื่อให้ทำการแปรรูปและสกัดทองแท่งโดเร่ของอัคราให้ได้ทองคำที่มีค่าความบริสุทธิ์ 99.99% ตามมาตรฐานสากล ก่อนส่งต่อให้บริษัท ออสสิริส จำกัด ซึ่งมีรากฐานจากการเป็นช่างทองไทยมาก่อน นำไปใส่อัตลักษณ์ความเป็นไทย ขึ้นรูปให้เป็นทองคำรูปพรรณคุณภาพส่งออกสู่สายตาโลกต่อไป 

เรียกได้ว่าเป็นการเชื่อมสายการผลิตทองคำของไทยตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ในการพาสินค้าที่ผลิตด้วยทองคำและเงินของไทยผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากประเทศคู่ค้า เช่น การลดหย่อนภาษีนำเข้าของประเทศปลายทาง จากการใช้ทองคำและเงินที่สกัดและแปรรูปในไทย ตามหลักเกณฑ์ที่มีสัดส่วนมูลค่าการผลิตและวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) และสร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างประเทศ ลดการนำเข้าและลดการขาดดุลการค้า รวมถึงการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต และการค้าทองคำครบวงจรที่ได้มาตรฐานสากลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หลังจากที่เหมืองทองอัคราได้พาไปรู้จักเรื่องราวของทองคำทั้งกระบวนการสกัด ความแตกต่างระหว่างทองคำบริสุทธิ์ ทองเคและทองปลอม มาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนที่กำลังมองหาทองคำไว้เป็นของขวัญแทนใจต้อนรับปีใหม่ หรือเทศกาล วันสำคัญต่าง ๆ คงเลือกหาและตัดสินใจซื้อทองคำของแท้ได้สบายใจมากขึ้นแล้ว แต่เพื่อความมั่นใจควรเลือกซื้อทองจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบตราประทับได้ และมีใบรับประกันเพื่อให้แน่ใจว่าทองที่ซื้อเป็นทองแท้นั่นเอง

 

อัครา รีซอร์สเซส จำกัด เข้าร่วมโครงการอุตสาหกรรมสีเขียว

เนื่องด้วย บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมโครงการอุตสาหกรรมสีเขียว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน โดยยึดมั่นในการประกอบกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งทางบริษัทฯ มีความยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า บริษัทฯ ได้รับการรับรองเป็น “อุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 1: ความมุ่งมั่นสีเขียว” จากกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อแสดงว่าเราได้มีความมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีการสื่อสารภายในองค์กรให้ทราบโดยทั่วกัน

ตรวจสุขภาพชุมชนรอบเหมือง โครงการเพื่อชุมชนและสังคมผ่านความตั้งใจดีของอัครา

“สุขภาพดี ชีวิตสดใส” หัวใจสำคัญของการพัฒนา เพราะสุขภาพที่ดี คือ สิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต เป็นรากฐานสำคัญของการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นขุมพลังแห่งการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่เหมืองทองอัคราเราตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อชุมชนและความสำคัญของการมีสุขภาพดีเสมอมา จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับชุมชนรอบเหมือง ด้วยการขับเคลื่อนเจตนารมณ์ผ่านโครงการเพื่อชุมชนและสังคมภายใต้ชื่อ ‘โครงการตรวจสุขภาพชุมชน’ ที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยและความตั้งใจดีจากเหมืองทองอัครา 

“อัคราเพื่อชุมชน” โครงการตรวจสุขภาพ… ส่งเสริมสุขภาพดี ทั่วพื้นที่รอบเหมือง

วันที่ 22 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา เหมืองทองอัครา นำโดยคุณเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ได้นำโครงการดี ๆ เพื่อชุมชนอย่างโครงการตรวจสุขภาพ… ส่งเสริมสุขภาพดีประจำปีที่เปรียบเสมือนโมบายคลินิก ภายใต้แนวคิด ‘เหมืองแร่ปลอดภัย ห่วงใยประชาชน’ ซึ่งได้ดำเนินการมาทุกปีอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่รอบเหมือง โดยเปิดให้ชาวบ้าน 3 อำเภอรอบเหมืองอยู่ติดกับเขตระยะปลอดภัยรัศมี 5 กม. จำนวน 28 หมู่บ้านใกล้เหมืองทองอัครา หรือประมาณ 700 คน เข้าตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งมีการให้บริการตรวจสุขภาพที่หลากหลายและครอบคลุม

  • ตรวจร่างกายทั่วไป: มีการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันโลหิต ตรวจเลือดเพื่อตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การทำงานของตับและไต เอ็กซเรย์ปอด ทดสอบสมรรถภาพปอด รวมถึงการตรวจปัสสาวะที่จะส่งให้กับแล็บของโรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งเป็นแล็บที่ได้มาตรฐาน
  • ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ: หลังได้ข้อมูลสุขภาพเกี่ยวกับพื้นฐานน้ำหนัก ส่วนสูง ความดันโลหิต และได้รับการสัมภาษณ์พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) แล้ว จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีวเวชศาสตร์คอยให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพจากข้อมูลที่ได้อีกครั้ง รวมถึงการตรวจร่างกายเพิ่มเติม นอกจากนี้บริเวณรอบพื้นที่ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอย่างสาธารณสุขท้องถิ่นที่มาออกบูธให้ข้อมูลความรู้เรื่องสุขภาพด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคภัย การเฝ้าระวังสุขภาพและการยืนยันตัวตนเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพอีกด้วย

“อัคราเพื่อชุมชน” สุขภาพดี เริ่มต้นที่นี่ !

สำหรับโครงการเพื่อชุมชนและสังคมอย่างโครงการตรวจสุขภาพ หรือโมบายคลินิกที่ทางอัคราได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีนี้ เกิดขึ้นได้จากงบประมาณที่จัดสรรไว้จำนวน 3% ตามที่รัฐกำหนด และแบ่งส่วนเข้าสู่ ‘กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ’ ที่นอกเหนือจากการจ่ายค่าภาคหลวงแร่ ซึ่งสอดรับกับจุดมุ่งหมายของการเป็นเหมืองปลอดภัย ห่วงใยประชาชน เพื่อมอบประโยชน์มากมายทั้งต่อชาวบ้านและชุมชน ดังนี้

  • การเข้าถึงบริการสุขภาพ: ชาวบ้านสามารถเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพได้สะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • เฝ้าระวังปัญหาสุขภาพ: ช่วยให้ชาวบ้านมีข้อมูลสุขภาพของตนเอง และสามารถเฝ้าระวัง ป้องกัน พร้อมเข้าถึงการรักษาโรคได้อย่างทันท่วงที
  • ลดความเหลื่อมล้ำ: ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
  • พัฒนา “ระบบสุขภาพชุมชน”: ต่อยอดจากการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพในทุกปีทำให้เกิดเป็นระบบสุขภาพชุมชน และกลายเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสุขภาพชุมชนให้เข้มแข็ง ห่างไกลโรคภัยได้อย่างยั่งยืน
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: นอกจากชุมชนจะได้รับทราบปัญหาสุขภาพ และแนวทางการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างอัคราและชุมชน เพื่อร่วมดูแลซึ่งกันและกันอีกด้วย

ประมวลผลภาพโครงการตรวจสุขภาพเพื่อชุมชนและสังคมรอบเหมือง
“โครงการเหมืองปลอดภัย ห่วงใยประชาชน 2567”

“รู้สึกดีมากค่ะ ตอนนี้สุขภาพปกติดีค่ะ แล้วก็อยากให้มีอีกค่ะ”
– คุณเรียม บุญไทย ชาวบ้านจากชุมชนรอบเหมือง –

“ทุกคนดีใจครับ เขาอยากมาตรวจว่าตัวเองเป็นโรคอะไร อย่างไรบ้าง
อยากให้อัคราทำโครงการดี ๆ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ครับ เพื่อชาวบ้านและชุมชนรอบเหมือง”
– คุณสมชาย แหลมนาค ผู้ใหญ่บ้านจากชุมชนรอบเหมือง –

นอกเหนือจากโครงการดี ๆ อย่างโครงการตรวจสุขภาพเพื่อชุมชนและสังคมรอบเหมืองที่เราได้จัดตั้งขึ้นมาแล้ว ภายในโครงการนี้ยังมีกิจกรรมจับฉลากให้รางวัลกับผู้เข้าร่วมตรวจสุขภาพอีกด้วย โดยรางวัลใหญ่ในครั้งนี้เป็นทองคำคุณภาพจากเหมืองทองอัครา รถจักรยานและอื่น ๆ อีกหลากหลายรายการ รวมไปถึงยังมีโซนให้ชาวบ้านมาเปิดร้านขายของ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากชุมชนแต่ละท้องที่ จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างรายได้ให้กับชุมชนด้วย

“ความรับผิดชอบต่อชุมชน” คือ หัวใจของอัครา… ที่เหมืองทองอัคราเรามุ่งมั่นที่จะเป็น “เพื่อนแท้” ของชุมชน เคียงข้าง และดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งเราเชื่อมั่นว่า “สุขภาพ” คือ รากฐานสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นำมาสู่โครงการตรวจสุขภาพเพื่อชุมชนและสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในความตั้งใจดีที่เราพร้อมมอบให้กับชุมชนเพื่อสร้างสังคมที่แข็งแรงและยั่งยืนร่วมกัน

“ชาตรี” สุดยอดนักธรณีไทย ผู้ร่วมบุกเบิกเหมืองแร่ทองคำชาตรีสู่เหมืองทองคำมาตรฐานโลก

เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางคนถึงเรียกชื่อเหมืองแร่ทองคำอัคราว่า ‘เหมืองแร่ทองคำชาตรี (Chatree Gold Mine)’ ? เป็นเพราะเจ้าของชื่อชาตรี หรือเพราะอะไร วันนี้… เราขอพาทุกท่านไปค้นหาคำตอบที่มาของชื่อเหมืองทองและสัมผัสเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจกับนักธรณีวิทยาไทยคนเก่งที่น่ายกย่อง “คุณชาตรี ชัยชนะพูลผล” ผู้ร่วมบุกเบิกค้นพบสายแร่ทองคำคุณภาพในประเทศไทย จนนำไปสู่การกำเนิด “เหมืองแร่ทองคำชาตรี” และก้าวสู่การเป็นเหมืองแร่ทองคำคุณภาพระดับโลกในนาม “เหมืองแร่ทองคำอัครา” ณ ปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นเหมืองแร่ทองคำอัครา กับชายที่ชื่อ ‘ชาตรี’

ประกายแห่งความภูมิใจจากความสามารถของคนไทย… เราต่างก็ทราบดีว่าประเทศไทยเรานั้นมีทรัพยากรล้ำค่าอยู่มากมาย เพราะดินแดนแถบนี้ในอดีตผู้คนต่างรู้จักกันในนาม “สุวรรณภูมิ” หรือ “ดินแดนแห่งทองคำ” ซึ่งหากไม่ใช่ผู้ที่มีความมุ่งมั่น มีความเชี่ยวชาญด้านการสำรวจและศึกษาโครงสร้างชั้นหินของโลกเฉกเช่นคุณชาตรี ชัยชนะพูลผล นักธรณีไทยผู้เก่งกาจคนนี้ เราอาจจะยังไม่ได้พบเจอขุมทรัพย์อันล้ำค่านี้ที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นแผ่นดินไทยจนนำมาสู่การขับเคลื่อนประเทศก็เป็นได้  

คุณชาตรี เป็นอีกหนึ่งในคนไทยยอดเก่งและเป็นบุคคลสำคัญของอัครา เพราะเป็นผู้ร่วมบุกเบิกการสำรวจและพัฒนาเหมืองแร่ทองคำคุณภาพในประเทศไทย โดยมีส่วนสำคัญในการค้นพบแหล่งสายแร่ทองคำของเหมืองแร่ทองคำชาตรีเป็นคนแรกและพัฒนาเหมืองแร่ทองคำชาตรี จนกลายเป็นเหมืองแร่ทองคำระดับโลกของไทยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยความเชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ในการมองลักษณะของชั้นหินและองค์ประกอบสภาพแวดล้อมของสายแร่ทองคำคุณภาพได้แม่นยำและเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คุณชาตรีได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ พ.ศ. 2535 

คุณชาตรี ชัยชนะพูลผล

คุณชาตรี ยืนแถวหลังคนที่ 2 นับจากซ้ายมือ

คุณชาตรี ชัยชนะพูลผล นักธรณีวิทยาชาวไทยผู้มากความสามารถและได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจแร่ทองคำ แต่เดิมมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยความรักในวิชาชีพธรณีวิทยาจึงได้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพที่บริษัทเอกชนชื่อ บริษัท ไทยโกลด์ฟิวด์ จำกัด  ก่อนจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับครอบครัวอัครา ไมนิ่ง จำกัด (ชื่อเดิมของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)) และด้วยวิสัยทัศน์กว้างไกล ร่วมกับความมุ่งมั่นในการค้นหาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อพัฒนาประเทศไทยของเรา คุณชาตรีได้อุทิศตนในการสำรวจแร่ธาตุต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย และในที่สุดความพยายามก็สัมฤทธิ์ผล 

จากคำบอกเล่าของคุณจำรัส แสงศรีจันทร์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสำรวจ กล่าวถึงคุณชาตรีว่าในตอนนั้นเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมงานที่ร่วมกันทำการค้นหาสายแร่ทองคำในประเทศไทย 

“ในช่วงใหม่ ๆ ตระเวนทั่วประเทศไทย ไปดูแหล่งต่าง ๆ ว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง 
ถ้าที่ไหนน่าสนใจก็จะกลับไปติดตามผลการสำรวจอีกครั้ง
โดยขั้นตอนจะมีการสำรวจทางธรณีวิทยาและธรณีเคมี 
ซึ่งมีผม คุณชาตรีและคุณสุรพล คอยจัดทำเป็นแผนที่บันทึกข้อมูลทางธรณีวิทยา
ว่าบริเวณนั้นคือหินอะไร พบแร่อะไรบ้าง 
และด้วยความโชคดีวันที่ 26 มีนาคม 2533 เราได้ค้นพบเกล็ดแร่ทองคำเล็ก ๆ
ที่อยู่ในสายแร่ควอตซ์จากการขุดร่องสำรวจ จำนวน 13 แนวบริเวณเขาหม้อ
ซึ่งปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นบ่อเหมืองที่เรียกกันว่า “บ่อ A” ของเหมืองแร่ทองคำชาตรี”

จากการค้นพบสายแร่ทองคำคุณภาพ บริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ในครั้งนั้น เพื่อให้เกียรติแด่คุณชาตรีทางบริษัทอัคราจึงตั้งชื่อเหมืองว่า “เหมืองแร่ทองคำชาตรี” เหมืองแร่ทองคำแห่งแรกของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) 

ผู้ร่วมบุกเบิกเหมืองแร่ทองคำชาตรีสู่เหมืองทองคำมาตรฐานโลก

และแม้ในตอนนั้นคุณชาตรีและทุกคนจะค้นพบสายแร่ทองคำคุณภาพแห่งแรกของประเทศไทยแล้ว แต่การเริ่มต้นทำเหมืองก็ยังเป็นความกังวลของผู้คนในยุคนั้น คุณสุรชาติ หมุนสมัย รุ่นน้องผู้ร่วมงานของคุณชาตรีได้กล่าวว่า 

ในสมัยนั้นมันค่อนข้างยากที่จะอธิบายให้ทุกคนทราบถึงผลลัพธ์ของการมีเหมือง 
เนื่องจากข้อมูลข่าวสารในตอนนั้นมันหาได้ยาก ไม่เหมือนสมัยนี้ที่สามารถค้นหาผ่านอินเทอร์เน็ตได้ว่า
แทบจะมีผลกระทบน้อยมากในการสร้างเหมือง และพี่ชาตรีก็เคยพูดกับผม 
‘วันหนึ่ง พวกเขาจะเข้าใจเองว่า พวกเรากำลังทำอะไรให้เขาอยู่’ ปัจจุบันสิ่งที่พี่ชาตรีเคยบอกไว้ ก็ไม่เกินจริง… ”  

เส้นทางจากเหมืองทองชาตรีสู่ชุมชน การเติบโตของเหมืองที่ก้าวไปพร้อมชุมชน

คุณชาตรีไม่เพียงแต่เป็นนักธรณีวิทยาที่ค้นพบสายแร่ทองคำคุณภาพ จนกลายมาเป็นเหมืองทองของคนไทยที่ปลอดภัยและยั่งยืนระดับโลกในทุกวันนี้เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับ “ชุมชน” โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนควบคู่ไปกับการทำเหมือง

“ชาตรีเป็นคนแรกเลยที่เข้ามาหายาย จะทำอะไรแค่เอ่ยปากเขาพร้อมจะช่วยทุกอย่าง นอกจากเขาไม่รู้ 
ขออะไรเขาก็ให้ มีอะไรเขาก็เข้ามาปรึกษา อย่างประปาเนี่ยเขาก็ว่า ‘มันไม่ดียังไง เดี๋ยวผมเอาช่างมาดูให้’ 
ต้องขอบคุณคุณชาตรีและคุณแม่ของชาตรีด้วยนะคะ” 

นางแพง และสมพร ฉิมพลี ร้านค้าของชำ ชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียงเหมืองแร่ทองคำชาตรี 

“คุณพ่อผมเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 รู้จักกับคุณชาตรี เขามาบอกว่าจะมีการสำรวจแร่ทองคำ 
ตอนนั้นที่รู้ว่าพบเจอสายแร่ทองคำไม่ได้ตกใจ แต่แปลกใจมากกว่าที่ว่าประเทศเรามีทองคำด้วยหรือ… 
และแทบจำไม่ได้เลย แถวนี้ไม่มีบ้านหรอกมีแต่ทุ่งนา ต้องขอบคุณคุณชาตรีมากเลยที่ได้ค้นพบแหล่งแร่ทองคำ 
ทำให้คนทั่วโลกรู้ว่าประเทศไทยเรามีแหล่งแร่ทองคำ และก็สร้างรายได้ สร้างสาธารณูปโภคในชุมชน” 

นายศิวกร ช่วยค้ำชู ร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียงเหมืองแร่ทองคำชาตรี 

“ในอดีตคุณพ่อเคยทำงานที่เหมืองค่ะ ขับรถยักษ์ หนูเป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่ได้ทุนจากเหมือง ณ ตอนนั้น ที่จริงตอนนั้นหนูคิดว่าจะไม่เรียนต่อแล้ว เพราะว่าค่าเทอมหนูไม่ได้ให้พ่อแม่มายุ่งค่ะ หนูตั้งใจที่จะเรียนเอง แล้วก็บอกเขาว่าเหมืองได้ให้ทุนหนู… หนูขอขอบคุณคุณชาตรีที่มาเจอพื้นที่นี้ และทำให้เกิดการพัฒนามากมายในชุมชน 
ส่วนตัวหนูเอง ถ้าไม่มีเหมือง หนูก็คงไม่ได้รับการศึกษาเทียบเท่ากับคนอื่น ๆ ในสังคม” 

น.ส. พร้อมพรรณ ขุนทอง เจ้าหน้าที่ชุมชนสัมพันธ์และการพัฒนา 
หนึ่งในชาวบ้านที่อยู่ใกล้เหมืองที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาและทำงานกับเหมืองแร่ทองคำชาตรี

อัครา… สานต่อเจตนารมณ์เพื่อความยั่งยืน จากเหมืองแร่ทองคำชาตรีในวันนั้นสู่เหมืองทองคำอัคราในวันนี้ เราภาคภูมิใจที่ได้สานต่อเจตนารมณ์ของคุณชาตรี ในการดำเนินธุรกิจเหมืองแร่ทองคำอย่างมีความรับผิดชอบ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติและชุมชนโดยรอบ

เหมืองแร่ทองคำชาตรี (Chatree Gold Mine) ทองคำ… จากผืนดินไทย 
สู่ความภาคภูมิใจของคนไทย ด้วยวิสัยทัศน์ของนักธรณีไทย ‘คุณชาตรี ชัยชนะพูลผล’
นักธรณีวิทยาผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและเป็นบุคคลต้นแบบแห่งวงการธรณีวิทยาไทย

เล่าเรื่องเหมืองทองอัคราวันนี้ นวัตกรรมเหมืองยุคใหม่ของการทำเหมืองทองเพื่อความยั่งยืนระดับโลก

ประเทศไทย.. ดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ หล่อเลี้ยงหลากหลายอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่เวทีโลก ไม่ว่าจะเป็นรวงข้าวหอมมะลิ  ผลไม้รสเลิศ  ยางพาราคุณภาพ หรือแม้แต่ “ทองคำ” ทรัพยากรล้ำค่าที่เปล่งประกายอันเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง ล้วนมีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศ วันนี้… “เหมืองทองอัครา” เหมืองทองคำระดับโลกของคนไทย เราพร้อมแล้วที่จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำคุณภาพ และเป็นส่วนหนึ่งของฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยนวัตกรรมเหมืองทองยุคใหม่มาตรฐานโลก ที่มุ่งมั่นสู่การทำเหมืองทองอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทุกคน 

เล่าเรื่องเหมืองทองอัคราวันนี้… ที่คุณอาจไม่เคยรู้

“อัครา” คือ บริษัทเหมืองแร่ทองคำของคนไทยที่ดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) โดยเป็นผู้ถือสัมปทาน “เหมืองแร่ทองคำชาตรี” ซึ่งเป็นเหมืองแร่ทองคำระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอัครามุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ โดยให้ความสำคัญกับ 3 ด้านหลัก ดังนี้

  • การพัฒนาเศรษฐกิจ: สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศชาติ
  • การดูแลสังคม: ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนผ่านโครงการต่าง ๆ ด้านการศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาชุมชน
  • การรักษาสิ่งแวดล้อม: ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลกที่ทันสมัย ล้ำหน้า ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและฟื้นฟูพื้นที่ควบคู่ไปกับการทำเหมือง

แม้ต้องเผชิญกับคลื่นลมที่ถาโถม แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมชุมชนและประเทศไทย 
‘การเดินทางครั้งใหม่จึงเริ่มต้นอีกครั้ง’ 

วันนี้เหมืองทองอัคราพร้อมกลับมาเปิดและดำเนินการด้วยความมุ่งมั่น
สานต่อด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และมุ่งเน้นนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 
ภายใต้มาตรฐานระดับโลกที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว

เหมืองทองอัครายุคใหม่… ก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน

การกลับมาครั้งนี้เหมืองทองอัคราพร้อมแล้วที่จะขับเคลื่อนธุรกิจเหมืองแร่ทองคำ ด้วย “นวัตกรรมเหมืองยุคใหม่” ที่ยึดหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) เป็นหัวใจสำคัญ

  • ด้านสิ่งแวดล้อม: นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับสู่การเป็นเหมืองทองยั่งยืนระดับโลก เช่น นวัตกรรมการผลิตแบบปิดล็อกที่ไม่มีการเล็ดลอด, ระบบบ่อป้องกันการรั่วซึม 5 ชั้น ที่ไม่มีการรั่วซึมและได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล, การรีไซเคิลน้ำที่เกิดจากกระบวนการผลิตแล้วนำกลับมาใช้ซ้ำ 100% ไม่ปล่อยออกไปภายนอก, นวัตกรรมการระเบิดที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การออกแบบจังหวะถ่วงเวลาระเบิด ลดการเกิดเสียงและแรงสั่น การใช้น้ำฉีดก่อนการระเบิดเพื่อลดฝุ่น และการฟื้นฟูพื้นที่หลังการทำเหมือง เป็นต้น
  • ด้านสังคม: มุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าร่วมกับชุมชนผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การสร้างงาน, การพัฒนาอาชีพ, การสนับสนุนด้านการศึกษา, การดูแลส่งเสริมสุขภาพ, การฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ
  • ด้านธรรมาภิบาล: ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้และมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

นอกจากนี้ เรายังมีอีกหนึ่งเป้าหมายใหญ่ ด้วยการนำอุตสาหกรรมทองคำไทยเข้าสู่ ‘ฮับแปรรูปและสกัดทองคำ’ เพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตทองคำแห่งใหม่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้กรอบความร่วมมือทางธุรกิจของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน), บริษัท รีฟายนิ่ง โลหะมีค่า จำกัด หรือ ‘พีเอ็มอาร์ (PMR)’ และบริษัท ออสสิริส จำกัด ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการเชื่อมต่อสายการผลิตทองคำคุณภาพที่เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ‘โดยอัครา-ถลุง, พีเอ็มอาร์-สกัด, ออสสิริส-แปรรูป’

ทั้งนี้ เพื่อต่อยอดการสร้าง ‘คุณค่า’ และ ‘ยกระดับการแข่งขัน’ พาสินค้าทองและเงินไทยผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากประเทศคู่ค้า เช่น การลดหย่อนภาษีนำเข้าของประเทศปลายทาง จากการใช้ทองคำและเงินที่สกัดและแปรรูปในไทย ตามหลักเกณฑ์ที่มีสัดส่วนมูลค่าการผลิตและวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) สร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้า ทำให้มียอดสั่งซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งสอดรับกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการทำความตกลงทางการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมายังประเทศไทย

เหมืองทองอัครา… ร่วมสร้างผลกระทบเชิงบวก พร้อมมุ่งหวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ

การกลับมาของเหมืองทองอัคราในครั้งนี้ เราไม่เพียงแต่รักษาไว้ซึ่งสถิติการเป็นผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำที่ปลอดภัยสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก และมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนเพียงเท่านั้น แต่เราพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจากต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำให้ไปสู่ระดับโลกได้อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ผ่านการสร้างผลกระทบเชิงบวกในด้านต่าง ๆ ดังนี้

Economic Impact พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

เหมืองทองอัครา ผู้ผลิตทองคำรายใหญ่รายเดียวของประเทศ

เหมืองทองอัคราในฐานะผู้ผลิตทองคำรายใหญ่รายเดียวของประเทศ เราร่วมเป็นส่วนหนึ่งในบทบาทสำคัญสำหรับการสร้าง “Economic Impact” อันยิ่งใหญ่ หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

  • เม็ดเงินลงทุนมหาศาล การกลับมาเปิดดำเนินการของอัคราในครั้งนี้ มาพร้อมกับเม็ดเงินลงทุนกว่า 2,600 ล้านบาท ในการยกเครื่อง ซ่อมแซมและพัฒนาเครื่องจักร, โรงประกอบโลหกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้พร้อมเดินหน้าผลิตทองคำคุณภาพป้อนสู่ตลาดโลก
  • กระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียน อัคราเราคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ผ่านการให้การสนับสนุนธุรกิจต่าง ๆ การจัดซื้อจัดจ้างและการจ้างงาน
  • ศักยภาพ “ฮับทองคำ” แห่งอาเซียน อัคราเรามุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางการค้าทองคำ” ในภูมิภาคอาเซียน เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล

ค่าภาคหลวงแร่ คืนกำไรสู่สังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน

ค่าภาคหลวงแร่ เหมืองทองอัคราวันนี้

ค่าภาคหลวงแร่ คือ ภาษีที่รัฐเรียกเก็บจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ซึ่งเหมืองทองอัคราเราภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศผ่านการชำระค่าภาคหลวงแร่อย่างถูกต้องและโปร่งใส นับตั้งแต่ก่อนมีการประกาศให้พักการประกอบกิจการชั่วคราว เหมืองทองอัคราได้จ่ายค่าภาคหลวงไปแล้วกว่า 4,500 ล้านบาท และนับตั้งแต่กลับมาเปิดดำเนินการเมื่อเดือนมีนาคม 2566 อัคราได้ชำระค่าภาคหลวงแร่ให้แก่รัฐบาลไทยไปแล้วกว่า 700 ล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้พัฒนาประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน

  • 40% สู่รัฐบาลกลาง เงินค่าภาคหลวงแร่ 40% จะถูกนำส่งเป็นรายได้ของรัฐบาลกลางเพื่อนำไปใช้พัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ
  • 60% สู่ท้องถิ่น: 50% จะถูกจัดสรรให้พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งเหมืองทองอัครา เพื่อนำไปใช้พัฒนาชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น และอีก 10% ที่เหลือจะถูกจัดสรรให้กับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทั่วประเทศ

Social Impact ! สร้างคุณค่า สร้างโอกาส สร้างความสุข

เหมืองทองอัคราเพื่อชุมชน

เหนือสิ่งอื่นใด.. “คน” คือ หัวใจสำคัญของอัครา! เพราะเราเชื่อมั่นว่าความสำเร็จทางธุรกิจ ต้องมาพร้อมกับการพัฒนาสังคมและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน

  • สร้างงาน สร้างอาชีพ ที่เหมืองทองอัคราเรามีการจ้างงานคนในพื้นที่กว่า 1,000 คน โดยกว่า 90% ที่เราตั้งเป้าหมายให้เป็นคนในชุมชน เพื่อสร้างเสริมเศรษฐกิจฐานรากในชุมชนรอบเหมือง ให้ทุกคนมีงานทำ มีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงปูพื้นสร้างโอกาสให้คนในชุมชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในระยะยาว
  • พัฒนาคุณภาพชีวิต เหมืองทองอัคราสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่เปรียบเสมือนการเรียนรู้นอกห้องเรียน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน เช่น การศึกษา, สาธารณสุข, กีฬา, ศาสนาและวัฒนธรรม เพราะเราเชื่อมั่นว่า การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในชุมชน คือรากฐานสำคัญในการส่งเสริมศักยภาพชุมชนให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน 
  • ครอบครัวอบอุ่น ครอบครัวในชุมชนได้อยู่พร้อมหน้า ลดปัญหาการย้ายถิ่นฐาน สร้างความเข้มแข็งให้กับครอบครัวและชุมชน คืออีกหนึ่งภารกิจที่อัคราตั้งใจผลักดัน เพื่อเป็นการขยายขอบเขตการส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับคนในชุมชน

เหมืองทองอัครา… เหมืองทองของคนไทยเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย

ปฐมบทใหม่แห่งการเดินทางได้เริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ววันนี้ที่เหมืองทองอัครา… การกลับมาเปิดเหมืองในครั้งนี้ เรามุ่งมั่นที่จะเป็น “เหมืองทองคำคุณภาพของไทย ความยั่งยืนและความปลอดภัยระดับโลก” ที่ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยและคนไทยทุกคน

อัคราจับมืออุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตรเร่งบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือ

บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ส่งมอบข้าวสาร อาหารแห้ง และยาสามัญประจำบ้านให้อุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตร เพื่อจัดทำถุงยังชีพส่งมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือต่อไป

นายสมปอง หวังรุ่งวิชัยศรี อุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตร รับมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคที่ตัวแทนบริษัทฯ ได้นำมามอบให้ที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตร เพื่อรวบรวมส่งต่อไปยังสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการจัดทำเป็นถุงยังชีพไว้สำหรับแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยต่อไป

นายสมปอง กล่าวว่า ตามนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้โครงการ “อุตสาหกรรมรวมใจ ช่วยพี่น้องชาวไทย” ทางปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้แจ้งให้สำนักงานอุตสาหกรรมทุกจังหวัด จัดหาอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของจำเป็นต่าง ๆ เพื่อมอบให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมโดยเร่งด่วน

ในโอกาสนี้ นายธนชาติ ผาทอง รองผู้จัดการรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ เห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อน นำน้ำ อาหารแห้ง รวมถึงยาสามัญประจำบ้าน ให้กับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตร ซึ่งภายหลังที่อุตสาหกรรมจังหวัดพิษณุโลกดำเนินการจัดถุงยังชีพเป็นที่เรียบร้อยและส่งกลับมาให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตรแล้ว บริษัทฯ จะร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่นำไปมอบให้กับผู้ประสบภัยต่อไป

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2567 บริษัทฯ ได้ผนึกกำลังพันธมิตรลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือคณะครูและนักเรียนกว่าหกร้อยชีวิตที่โรงเรียนอนุบาลวังโป่ง อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ภายหลังห้องเรียน 15 ห้อง และอุปกรณ์การเรียนการสอนได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุอุทกภัย ส่งผลให้ต้องหยุดการเรียนการสอน 8 วัน ประเมินมูลค่าความเสียหายที่ 2.5 ล้านบาท โดยช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดห้องเรียนที่ได้รับความเสียหาย เพื่อให้สามารถกลับมาใช้ทำการเรียนการสอนได้ตามปกติโดยเร็ว