อัคราต้อนรับนักวิ่งนับพัน เช็คอินบ่อเหมืองรูปหัวใจ สานพลังชุมชนเพื่อการกุศล

คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตอำเภอทับคล้อ (พชอ.) จับมือพันธมิตรภาคเอกชน นำโดย บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย บริษัท โลตัสฮอลวิศวกรรมเหมืองแร่และก่อสร้าง จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด นะราชา การโยธาและเหมืองแร่ และห้างหุ้นส่วนจำกัด ท้ายดง เอ็กเพรส จัดงานวิ่งการกุศล “ทับคล้อ รัน ฟอร์ ไลฟ์” ซีซั่น 2 ภายใต้แนวคิด “วิ่งชมพระอาทิตย์ตกดิน” ดึงดูดนักวิ่งด้วยจุดเช็คอิน “บ่อเหมืองรูปหัวใจ” แลนด์มาร์กสำคัญของ “เหมืองแร่ทองคำชาตรี” เพื่อนำรายได้จากการกิจกรรมช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ ผู้พิการ และผู้ประสบภัยไฟไหม้ในพื้นที่

นางสาวธนียา นัยพินิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร กล่าวระหว่างเปิดงานว่าจังหวัดพิจิตรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืนกิจกรรมในวันนี้มีเป้าหมายเพื่อนำรายได้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ ผู้พิการ และผู้ประสบภัยไฟไหม้ในอำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ทั้งนี้ จังหวัดได้ให้การสนับสนุนโครงการและกิจกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนมาโดยตลอด พร้อมเน้นย้ำบทบาทสำคัญของภาคเอกชนในการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนให้เติบโตควบคู่กับภาคธุรกิจ ในโอกาสนี้ ยังชื่นชมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่มีส่วนช่วยให้กิจกรรมครั้งนี้ประสบความสำเร็จ

ด้านนายสุเมธ เมธีรัตนาพิพัฒน์ นายอำเภอทับคล้อ เปิดเผยว่า พชอ. ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ได้ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน โดยนอกจากการสนับสนุนด้านงบประมาณแล้ว ยังร่วมกันปรับปรุงภูมิทัศน์ ทำความสะอาดพื้นที่ ติดตั้งไฟส่องสว่างเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และจัดเจ้าหน้าที่ดูแลตามจุดต่าง ๆ ตลอดเส้นทางวิ่ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน โดยกิจกรรมวิ่งการกุศลครั้งนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม มีผู้สมัครเข้าร่วมกว่า 1,200 คน โดยแบ่งเส้นทางวิ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 3.9 กิโลเมตร 5.9 กิโลเมตร และ 10.9 กิโลเมตร ไฮไลต์สำคัญของงานคือเส้นทางวิ่งผ่าน “บ่อเหมืองรูปหัวใจ” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ทางอำเภอต้องการส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอีกทางหนึ่ง

สำหรับ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ถือเป็นผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำแห่งเดียวในไทย จึงเป็นโอกาสอันดีที่ได้ต้อนรับประชาชนนับพัน ให้ได้ชมเห็นทัศนียภาพอันสวยงามของเหมือง สะท้อนถึงความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ ที่บริษัทฯ ยึดมั่นมาโดยตลอด โดย นางสาวยุวธิดา พุกอ่อน ผู้จัดการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์และการพัฒนา กล่าวว่ากิจกรรมในครั้งนี้ เป็นสิ่งยืนยันให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างบริษัทฯ และชุมชน ตอกย้ำแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลและสามัคคีและบริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตร และชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยมีเหมืองเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งวิสัยทัศน์นี้ยังขยายไปสู่ยังพันธมิตรของเหมือง ได้แก่ โลตัสฮอล นะราชา และท้ายดงเอ็กซ์เพรส ซึ่งล้วนให้ความสำคัญกับการจ้างงานคนในท้องถิ่นและมีส่วนร่วมในกิจกรรมพัฒนาชุมชนมาโดยตลอด

“วันนี้ นอกจากรางวัลกว่า 100 รางวัลที่อัครานำมาสนับสนุนแล้ว อัครายังเตรียมรางวัลพิเศษ ได้แก่ ทองคำแท้จากเหมืองไทย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเรา ที่สามารถผลิตทองคำคุณภาพโดยฝีมือคนไทย เพื่อคนไทย” นางสาวยุวธิดา กล่าวทิ้งท้าย

อัคราโอ่จ่ายค่าภาคหลวงแล้วพันล้าน หลังกลับมาเปิดไม่ถึง 2 ปี จับมือพีเอ็มอาร์ ออสสิริสตอกย้ำความสำคัญของอุตสาหกรรมทองคำ

กรุงเทพฯ (23 มกราคม 2568) — นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ม.ล.ปรมาภรณ์ เทวกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด และ นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารงาน บริษัท ออสสิริส จำกัด ร่วมอัพเดทภาพรวมอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำ ท่ามกลางความต้องการทองคำทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้น หวังภาครัฐตระหนักถึงความสำคัญของอุตสาหกรรม

นายเชิดศักดิ์ อรรถอาผู้จัดการทั่วไปฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) (“อัครา”) ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำชาตรี กล่าวถึงบทบาทการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายหลังที่อัครากลับมาเปิดดำเนินการว่า อัคราได้ใช้งบประมาณกว่า 2,600 ล้านบาทในการยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรมทั้ง 2 แห่ง รวมถึงอาคารสถานที่สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในเหมืองจนแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2567 ส่งผลให้สามารถเดินกำลังการผลิตได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา อัคราผลิตแร่ทองคำได้ประมาณ 50,000 ออนซ์ และแร่เงินกว่า 530,000 ออนซ์ และตั้งเป้าการผลิตทองในปี 2568 ไว้ที่ 80,000 – 90,000 ออนซ์ จากนั้นจะค่อย ๆ เพิ่มเป็น 95,000 – 120,000 ออนซ์ ในอีก 2-3 ปีต่อจากนี้

นางสาวศิวนาถ สอนราช ผู้จัดการฝ่ายงานอนุญาตของอัครา กล่าวเสริมว่า ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 22 เดือน นับตั้งแต่มีนาคม 2566 จนถึงมกราคม 2568 อัคราได้ชำระค่าภาคหลวงกว่า 1,000 ล้านบาท โดย 40% ของค่าภาคหลวงแร่จะถูกจัดสรรให้เป็นรายได้รัฐ อีก 50% ถูกจัดสรรให้แก่ชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินการทำเหมือง โดยแบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% องค์การบริหารส่วนตำบลที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% และองค์การบริหารส่วนตำบลภายในจังหวัดอีก 10% และส่วนสุดท้ายอีก 10% ที่เหลือจะถูกจัดสรรให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพขององค์กรท้องถิ่นในการดูแลประชาชนได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดงานและโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่จำนวนมาก นอกจากนี้ อัครายังจ่ายเงินบำรุงพิเศษ 5% โดยคำนวณจากค่าภาคหลวงแร่ ให้กับกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาวิจัยด้านแร่ ปรับสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองแล้ว ซึ่งยังไม่รวมเงินที่อัคราต้องจัดสรรเข้ากองทุนจำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ และกองทุนประกันความเสี่ยง ซึ่งบริษัทต้องนำเงินเข้ากองทุนในอัตรา 21% ของค่าภาคหลวงแร่ โดยต้องไม่น้อยกว่า 65 ล้านบาทต่อปี แต่อัคราได้จัดสรรเงินเข้ากองทุนเหล่านี้ไปแล้วประมาณ 207 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้มาก

ม.ล.ปรมาภรณ์ เทวกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด (“พีเอ็มอาร์”) ในฐานะผู้สกัดทองคำให้อัครา กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันพีเอ็มอาร์มีความสามารถสกัดทองคำให้มีความบริสุทธิ์ได้ที่ 99.99% โดยปริมาณแร่ทองคำและเงินที่ได้รับจากอัครา คิดเป็นสัดส่วน 30% ของกำลังการผลิตเท่านั้น ดังนั้น เราจึงพร้อมที่จะรองรับปริมาณการผลิตที่สูงขึ้นของอัคราในอนาคต ซึ่งทองที่สกัดออกมาที่ค่าความบริสุทธิ์ 99.99% ได้ถูกส่งต่อให้ออสสิริสแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าต่อไป

นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารงาน บริษัท ออสสิริส จำกัด (“ออสสิริส”) เล่าต่อว่า ทองที่สกัดจากพีเอ็มอาร์นั้น เรานำไปแปรรูปโดยช่างทองของออสสิริสใส่อัตลักษณ์ความเป็นไทยลงไปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ทองคำของไทยต่อไป ภายใต้วิสัยทัศน์ “ทองไทย เพื่อคนไทย” เพื่อส่งต่อ “คุณค่าไทย” ผ่านทองคำไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทย สู่สายตาโลก ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการจับมือกันระหว่าง 3 บริษัทเพื่อเชื่อมต่อสายการผลิตทองคำของไทย

ประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรจากการทำเหมืองทอง?

ม.ล.ปรมาภรณ์ อธิบายถึงบทบาทของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ว่า เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ทำให้เกิดวัตถุดิบที่จำเป็นในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งคมนาคม ระบบรถไฟทางคู่ ถ้าไม่มีการทำเหมืองหิน เพื่อใช้ทำซีเมนต์ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ก็คงไม่เกิด อุตสาหกรรมต้นน้ำจึงมีความสำคัญ เพราะเป็นผู้หาวัตถุดิบให้ พอมีวัตถุดิบ เราก็สามารถนำผู้เชี่ยวชาญมาคิดพัฒนาให้เกิดอุตสาหกรรมปลายน้ำต่าง ๆ ตามมา

นายบุญเลิศ กล่าวเสริมว่า ทองคำเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหรรมเครื่องประดับ และช่างทองไทยมีความโดดเด่นในการทำอัตลักษณ์เฉพาะตัว เพราะฉะนั้นเราสามารถนำทองที่หาได้ในประเทศ สกัด และเพิ่มมูลค่าเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก นำรายได้กลับเข้าประเทศ โดยการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2567 มีมูลค่า 16,924.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 คิดเป็นสัดส่วน 6.14% ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ซึ่งทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป คิดเป็นสัดส่วนถึง 49.12% ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม

นายเชิดศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐานเป็นกิจการที่มีภาพลักษณ์ในเชิงลบเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมประเภทอื่น โดยคนส่วนใหญ่มองว่าอุตสาหกรรมนี้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้กระแสสังคมมีความรู้สึกไม่ยอมรับ แต่ด้วยการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดผ่านมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ทางราชการกำหนด มีระบบตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและดูแลสุขภาพของคนในชุมชนที่มีประสิทธิภาพ และมีการศึกษาและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เช่น นวัตกรรมการควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์ การกักเก็บกากแร่โดยไม่มีการปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม บ่อกักเก็บกากแร่ที่มีระบบป้องกันการรั่วซึม ที่ได้การรับรองมาตรฐานระดับสากล การหมุนเวียนน้ำจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ซึ่งลดปริมาณการใช้น้ำถึง 307,000 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน นวัตกรรมการระเบิดที่ช่วยลดเสียง ลดฝุ่น เพื่อลดผลกระทบต่อธรรมชาติและชุมชนโดยรอบ เป็นต้น จึงมั่นใจได้ว่า การทำเหมืองดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม 

ล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน บริษัทฯ ได้สั่งแคปซูลสำเร็จรูปปิดผนึก หรือที่เรียกว่า “ไอโซเทนเนอร์” (isotainer) มาติดตั้งเพื่อใช้ในกระบวนการประกอบโลหกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการไซยาไนด์ ดังนี้

1.   ลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารเคมีของพนักงานที่ปฏิบัติงาน

2.   ควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์อย่างมีประสิทธิภาพ และ

3.   ไม่มีขยะที่เป็นบรรจุภัณฑ์เหลือทิ้ง โดยการส่งแคปซูลที่ใช้แล้วกลับไปยังผู้ผลิต

สำหรับคุณประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ อัคราคาดว่าจะป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยได้กว่า 4,100 ล้านบาทต่อปี ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ การจ้างงานทั้งทางตรงและผ่านผู้รับเหมาในพื้นที่ประมาณ 1,000 คน และการชำระค่าภาคหลวงแร่ให้แก่รัฐ

คุณเชิดศักดิ์ย้ำว่า “แค่ค่าภาคหลวงที่อัคราจ่ายตั้งแต่กลับมาเปิดดำเนินการภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปีเต็ม ยังมีมูลค่านับพันล้าน ซึ่งยังไม่รวมตัวเลขด้านการจ้างงานทั้งของอัคราโดยตรง หรือในส่วนของผู้รับเหมา หรือบริษัทคู่ค้าอย่างพีเอ็มอาร์ และออสสิริส ดังนั้น หากรัฐบาลให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำ เชื่อว่าผลประโยชน์จะยิ่งทวีคูณ ในขณะเดียวกัน โอกาสในการมีเหมืองแร่ทองคำเพิ่มก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ภาครัฐต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนผ่านการกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศบนพื้นฐานของทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดอยู่ร่วมกัน และกำหนดแผนการพัฒนาตามศักยภาพที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่”

นอกจากคุณประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ยังก่อให้เกิดคุณประโยชน์ด้านสังคมที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ โดยอัคราและพันธมิตรมีการจ้างงานคนในพื้นที่กว่า 1,000 คน และตั้งเป้าให้ 90% เป็นคนในชุมชน เพื่อลดปัญหาการย้ายถิ่นฐาน สร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัว นอกจากเค้าจะมีงานทำใกล้บ้านกันได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว อัครายังดูแลความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างรอบด้าน ในปีที่ผ่านมา อัคราได้จัดตั้ง คลินิกเกษตร เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกษตรกรในพื้นที่ทำเกษตรกรรมอย่างปลอดภัยเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดียิ่งขึ้น โดยมุ่งหวังสร้างเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้ทุกคนมีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงปูพื้นสร้างโอกาสให้คนในชุมชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในระยะยาว

นอกจากนี้ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของการประกอบกิจการ อัคราจัด “โครงการตรวจสุขภาพประจำปีให้แก่ชาวบ้านรอบเหมือง ภายใต้แนวคิด ‘เหมืองแร่ปลอดภัย ห่วงใยประชาชน’ ซึ่งได้ดำเนินการมาทุกปีอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่ โดยเปิดให้ชาวบ้านจาก 3 อำเภอ ในระยะรัศมี 5 กิโลเมตรรอบหมือง จำนวน 28 หมู่บ้าน หรือประมาณ 700 คน เข้าตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพได้สะดวกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยให้ชาวบ้านมีข้อมูลสุขภาพของตนเอง และสามารถเฝ้าระวัง ป้องกัน พร้อมเข้าถึงการรักษาโรคได้อย่างทันท่วงทีซึ่งผลการตรวจสุขภาพเหล่านี้ เป็นฐานข้อมูลให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่นำไปใช้ต่อยอดในการดูแลประชาชนต่อไป ทั้งหมดนี้ส่งผลให้อัคราได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างดี

แนวโน้มราคาทองคำและอุตสาหกรรมเหมืองแร่เป็นอย่างไร

นายบุญเลิศ ตอบชี้แจงว่า สำหรับราคาทองคำนั้น ในปีที่ผ่านมาราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเยอะ โดยทำราคาสูงสุดที่ $2790 ต่อออนซ์ เมื่อสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คิดว่าช่วงนี้อาจจะมีการพักตัวบ้างเพราะนักลงทุนบางส่วนน่าจะขายเพื่อทำกำไร บวกกับในระยะแรกหลังการเปลี่ยนผ่านของผู้นำสหรัฐ นโยบายกีดกันการค้าของทรัมป์ที่จะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าในระยะแรกซึ่งเป็นลบกับราคาทองคำ แต่แนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นขาขึ้น จากปัจจัยความกังวลทางการเมืองและเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลก ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การจับมือกับพันธมิตรอย่างกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ที่จะลดบทบาทของค่าเงินดอลลาร์ และปัจจัยของ “ความกลัวว่าจะพลาดโอกาส” ในหมู่นักลงทุน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยหนุนให้เกิดแรงซื้อทองซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย จะทำให้ราคาทองยืนอยู่ในระดับสูงได้พอสมควร

นายเชิดศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากเป็นวัตถุดิบในเครื่องประดับแล้ว ทองคำยังเป็นส่วนนึงในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ใกล้ตัวที่แทบจะเป็นอวัยวะที่ 33 ของเราอย่างมือถือก็มีทองเป็นส่วนประกอบ ซึ่งความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยียังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเทรนด์การใช้พลังงานทางเลือกที่ส่งผลให้มีความต้องการโลหะมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากโลหะมีค่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของแบตเตอรี่หรือแผงโซลาเซลล์ ดังนั้น ทองคำและโลหะมีค่ายังคงเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ทั่วโลกต้องการ

แผนความร่วมมือต่อไประหว่างอัครา พีเอ็มอาร์ และออสสิริส

นายบุญเลิศ เน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์ “ทองไทย เพื่อคนไทย” เดินหน้าส่งต่อ “คุณค่าไทย” ผ่านทองคำไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทย สู่สายตาโลก โดยจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้สินค้าทองคำและเงินของไทยผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากประเทศคู่ค้า เช่น การลดหย่อนภาษีนำเข้าของประเทศปลายทางจากการใช้ทองคำและเงินที่สกัดและแปรรูปในไทย ตามหลักเกณฑ์ที่มีสัดส่วนมูลค่าการผลิตและวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) อย่างน้อย 40% ของต้นทุน สร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างประเทศ สอดรับกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการเข้าทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมายังประเทศไทย

ม.ล.ปรมาภรณ์ กล่าวว่า คนส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันต่าง ๆ อยู่ในรูปแบบที่สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ทราบว่า เบื้องหลังของสิ่งของต่าง ๆ เหล่านั้น วัตถุดิบที่ใช้ล้วนมาจากการทำเหมืองแร่ ไม่ว่าจะเป็น มือถือ รถยนต์ แบตเตอรี่ ถนนตึกอาคารต่าง ๆ เพราะฉะนั้นแร่อยู่รอบตัวเราอย่างแท้จริง จึงหวังว่าภาครัฐจะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมปิดทองหลังพระนี้ นายเชิดศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การร่วมมือของ 3 บริษัทนี้ เป็นการเชื่อมต่อสายการผลิตทองคำตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าทองคำ เป็นแรงขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยให้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทองคำศักยภาพแห่งใหม่ที่ครบวงจรและได้มาตรฐานสากลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ชวนเช็กอิน 18 ที่เที่ยวพิจิตร-เพชรบูรณ์ 2568 เมืองรองที่ห้ามพลาด!

อยากเที่ยวในประเทศไทย แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี ? มาลองสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ในช่วงวันหยุดนี้กับ ‘ที่เที่ยวพิจิตร’ และ ‘ที่เที่ยวเพชรบูรณ์’ ดูสักครั้ง ซึ่งนอกจากทั้ง 2 จังหวัดนี้จะเป็นจังหวัดที่ตั้งของเหมืองทองชาตรีแล้ว ภายในจังหวัดก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหาอีกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัดวาอาราม แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตชุมชน ที่บอกเลยว่าต้องห้ามพลาด ! มีโอกาสต้องไปเยือนให้ได้สักครั้ง 

วันนี้เราจะพาคุณไปเช็กอิน 18 สถานที่ท่องเที่ยวสุดปัง รับรองว่าทริปนี้จะเต็มอิ่มทั้งความสุข สนุก แถมได้รูปกลับไปอวดเพื่อนแบบจุก ๆ แน่นอน เอาเป็นว่าปักหมุดให้ไวแล้วรีบตามมาได้เลย !

สถานที่ท่องเที่ยวเพชรบูรณ์ ดินแดนแห่งขุนเขาและทะเลหมอก

1. วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว (เขาค้อ เพชรบูรณ์)

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว (เขาค้อ) เพชรบูรณ์

CR: Facebook วัดผาซ่อนแก้ว

ดินแดนแห่งความศรัทธาและความงามบนยอดเขาสูงแห่งเขาค้อ เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกสุดอลังการที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาเขียวขจีและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ควรค่าแก่การมาสักการะ ตระการตาด้วยเจดีย์พระธาตุ 9 องค์ สีขาวเรียงราย และมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ สีทองอร่าม โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะหลากหลายแขนง ประดับประดาด้วยกระเบื้องโมเสกและเครื่องเบญจรงค์อย่างวิจิตร เหมาะกับสายบุญ ถ่ายรูป คู่รัก ครอบครัว หรือผู้ที่ต้องการความสงบและชื่นชมศิลปะสุด ๆ

วันเวลาเปิด-ปิด: 06:00 – 18:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าใช้จ่าย

2. Hydrangea Cafe Khaokho ทุ่งดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดบนเขาค้อ

Hydrangea Cafe Khaokho ทุ่งดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดบนเขาค้อ

CR: Facebook ไฮเดรนเยีย คาเฟ่ เขาค้อ – Hydrangea Cafe 

จิบกาแฟหอมกรุ่น ท่ามกลางทุ่งไฮเดรนเยียที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดบนเขาค้อ ดื่มด่ำความโรแมนติกของดอกไม้สีสันสดใสที่บานสะพรั่งตัดกับสีเขียวของขุนเขา สูดอากาศบริสุทธิ์และเก็บภาพความประทับใจได้ทุกมุม ถูกใจสายถ่ายรูปอย่างแน่นอน เพราะที่นี่เปรียบเสมือนสวรรค์ของคนรักดอกไม้ ที่เรียกได้ว่ารวมดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดปี เริ่มต้นช่วงหน้าหนาวด้วยแปลงดอกมาร์กาเร็ตออกดอกสีม่วงครามบานสะพรั่งไปทั่วทั้งภูเขา สลับกับทุ่งดอกหญ้าน้ำพุที่สวยคลาสสิค หลังจากนั้นจะหมุนเวียนด้วยดอกไม้ต่าง ๆ มากมาย เช่น ดอกไฮเดรนเยีย ดอกบลูซัลเวีย เรดซัลเวีย ดอกซีโลเซีย ดอกเบญมาศและดอกดาวเรือง ทุ่งดอกไม้แห่งนี้จึงสวยงามตลอดทั้งปี

วันเวลาเปิด-ปิด: สวนเปิด 07:30 – 18:00 น. และคาเฟ่เปิด 08:00 – 17:30 น.

ค่าเข้า: เด็กอายุไม่เกิน 10 ขวบ เข้าฟรี, ผู้ใหญ่ 60 บาท

3. ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์

ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์

เอาใจสายลุย และสายแอดเวนเจอร์ ผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและอากาศหนาวในเวลาเดียวกัน ภูทับเบิก คือตอบโจทย์สุดๆ เพราะอากาศเย็นและสามารถชมทะเลหมอกในยามเช้า สามารถมาร่วมกันพิชิตยอดเขาสูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมสัมผัสอากาศหนาวเย็น ชมวิวทะเลหมอกสุดอลังการที่โอบล้อมไปด้วยไร่กะหล่ำปลีสีเขียวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวม้งบนยอดดอย พร้อมกับดื่มด่ำแสงดาวยามค่ำคืนที่ส่องประกายระยิบระยับเต็มท้องฟ้าเหมือนใกล้แค่เอื้อม โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่ปลายฝนไปตลอดจนช่วงหน้าหนาวได้เลย

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

ค่าเข้า: นำเต็นท์มาเองคิดค่าบำรุงสถานที่คนละ 40 บาท ต่อคืน, เต็นท์นอน 2 คน พร้อมเครื่องนอน ราคา 350 ต่อคืน, เต็นท์นอน 4 คน พร้อมเครื่องนอน ราคา 650 ต่อคืน

4. ทุ่งแสลงหลวง

ทุ่งแสลงหลวง

‘ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย’ คำนี้ไม่เกินจริงเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่และเสน่ห์แห่งธรรมชาติที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ด้วยลักษณะเฉพาะของผืนป่าที่มีทั้งทุ่งหญ้า ป่าสน และมวลหมู่ดอกไม้สวยงาม เพลิดเพลินกับการเดินป่าศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ลุ้นระทึกกับการส่องสัตว์ป่าหายากนานาชนิด เช่น เก้ง กวางและนกหลากหลายสายพันธุ์ สัมผัสความเงียบสงบและผ่อนคลายอย่างแท้จริง ชมวิวทิวทัศน์ของผืนป่าได้สุดลูกหูลูกตา ใกล้ชิดธรรมชาติที่รับรองว่าโดนใจสายแคมปิ้ง สายแอดเวนเจอร์รักธรรมชาติ นักดูนกและช่างภาพสัตว์ป่า เหมาะมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 16:30 น.

ค่าเข้า: ค่าเข้า 40 บาท/คน, รถยนต์ 4 ล้อ 30 บาท/คัน, นอนเต็นท์คนละ 30 บาท

5. ทิวเขาผาโค้ง

ทิวเขาผาโค้ง

CR : องค์การบริหารส่วนตำบลวังโป่ง

ชวนหนีร้อนไปสัมผัสความเย็นจากธรรมชาติ สำรวจความงามของหินงอกหินย้อยภายในทิวเขาผาโค้ง พร้อมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ธรณีวิทยาและโบราณคดีที่ซ่อนอยู่ภายในซึ่งเป็นแหล่งรวมธรรมชาติสุด Unseen กับถ้ำที่มีลักษณะแปลกตากว่า 10 ถ้ำ แต่ที่เปิดให้ชื่นชมความงามจะมีเพียงถ้ำเงิน ถ้ำทอง ถ้ำปากเสือ ถ้ำนาคและถ้ำผาโค้ง ไฮไลท์เด่น ๆ ของที่นี่คือถ้ำเงินที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ที่แม้อากาศด้านนอกจะร้อนแค่ไหน แต่เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำอุณหภูมิก็จะลดลงอยู่ที่ประมาณ 24-25 องศา ชาวบ้านจึงเรียกว่า ‘ถ้ำติดแอร์’ หรือ ‘ถ้ำตู้เย็น’ นั่นเอง อีกหนึ่งไฮไลท์คือถ้ำผาโค้ง หรือผาเจ็ดสี ที่สายถ่ายรูปเช็กอินต้องห้ามพลาด ซึ่งเป็นถ้ำที่เกิดจากการที่หินปูนของภูเขาถูกลมและน้ำกัดเซาะเป็นเวลายาวนาน ทำให้มีลักษณะโค้งมนเป็นม่านหินสูง 20 เมตร ยาว 80 เมตร โดยมักมีน้ำไหลจากด้านบนลงมาตามแนวหน้าผา เมื่อแสงตกกระทบจะเกิดเป็นเฉดสีไล่กันอย่างสวยงาม

วันเวลาเปิด-ปิด: เข้าชมได้ตลอดทั้งวัน

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

สถานที่ท่องเที่ยวพิจิตร เมืองชาละวัน ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

6. บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร

บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร

หัวใจของเมืองพิจิตร บึงน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย สถานที่เที่ยวยอดฮิตของทุกเพศทุกวัย และเป็นแลนด์มาร์กสำคัญแห่งใหม่ของเมืองพิจิตรที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงพลิกโฉมให้กลับมาครึกครื้นเมื่อไม่นานมานี้ เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ และกิจกรรมสันทนาการอย่างการเดินเล่นชิลล์ ๆ ริมบึง การออกไปให้อาหารปลาที่ศาลากลางน้ำ พายเรือเล่นในบึงกว้างชมพระอาทิตย์ตกดิน หรือออกกำลังกายปั่นจักรยานรับลมยามเย็น เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ทำให้ได้สัมผัสวิถีชีวิตเรียบง่ายริมน้ำ ที่สำคัญบึงสีไฟแห่งนี้ยังมีประติมากรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างจระเข้ยักษ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองพิจิตรไว้เป็นจุดเช็กอินแลนด์มาร์กไว้ด้วย

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

7. อุทยานเมืองเก่าพิจิตร

อุทยานเมืองเก่าพิจิตร

CR : องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองเก่าอำเภอเมืองพิจิตร

ชวนคุณย้อนเวลากลับไปในอดีต ณ เมืองพิจิตรเก่า สัมผัสร่องรอยอารยธรรมโบราณผ่านซากโบราณสถาน จินตนาการถึงความรุ่งเรืองในอดีตและเรียนรู้ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองพิจิตร โดยอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของเมืองพิจิตรเก่า ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อ พ.ศ. 2478 และได้รับการบูรณะปรับปรุงให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ. 2529 ภายในอุทยานมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น ศาลหลักเมือง ซึ่งเป็นอาคารไม้ทรงไทยโบราณ วัดมหาธาตุ วัดเก่าแก่ที่มีเจดีย์ทรงดอกบัวตูมเป็นเอกลักษณ์ และถ้ำชาละวัน ตำนานพื้นบ้านชื่อดังของจังหวัดพิจิตร สายวัฒนธรรม ชอบชื่นชมความงามของศิลปะและอารยธรรมไม่ควรพลาด

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 16:30 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

8. ชุมชนย่านเก่าวังกรด

CR : ย่านเก่าวังกรด

เสน่ห์แห่งวันวาน ณ ชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำน่าน ที่ดึงดูดให้ผู้คนตบเท้าเข้ามาชมบ้านไม้โบราณที่มีสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม เดินเล่นสบายๆ แวะชิมอาหารอร่อยและเลือกซื้อสินค้าพื้นเมือง และอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดคือ ‘บ้านหลวงประเทืองคดี’ บุคคลสำคัญของชุมชนวังกรด ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นหลังแรกแห่งชุมชนวังกรด ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่บอกเล่าเรื่องราวของเมืองพิจิตรในอดีต

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

9. วัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร

CR : วัดโพธิ์ประทับช้าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

เอาใจสายบุญกับสถานที่ท่องเที่ยงจังหวัดพิจิตร วัดโพธิ์ประทับช้างเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ที่ ๘ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) ที่อยากชวนคุณมาชมพระอุโบสถขนาดใหญ่ที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา และสักการะต้นตะเคียนใหญ่อายุหลายร้อยปีที่เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ บรรยากาศโดยรอบที่โอบล้อมด้วยความสงบร่มเย็นและความขลังของสถานที่ นอกจากนี้บริเวณวัดยังมักมีนกแก้วโม่ง นกแก้วกะลิงและนกแขกเต้า แวะเวียนมาอาศัยอยู่ด้วย ใครที่ชอบดูไม้ส่องนกไม่ควรพลาด แถมในช่วงฤดูหนาวเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมของทุกปี ยังมีกิจกรรมล่องเรือชมหิ่งห้อยบริเวณวัดอีกด้วย

วันเวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

10. ศาลเจ้าพ่อท่าฬ่อ จังหวัดพิจิตร

ศาลเจ้าพ่อท่าฬ่อ จังหวัดพิจิตร

CR : ศาลเจ้าแม่ทับทิมท่าฬ่อ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

ศูนย์รวมความศรัทธาของชาวพิจิตรและนักท่องเที่ยว ศาลเจ้าพ่อท่าฬ่อ หรือศาลเจ้าแม่ทับทิมท่าฬ่อ เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ริมแม่น้ำน่านที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ โดยส่วนมากผู้คนมักนิยมมากราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลในเรื่องโชคลาภ การค้าขายและการเดินทางให้ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลงานประจำปีที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ ตามตำนานเล่าว่า สมเด็จพระเจ้าเสือแห่งกรุงศรีอยุธยาเคยเสด็จมาประทับ ณ บริเวณนี้ และทรงพบกับแสงสีทองเปล่งประกาย จึงได้ทอดพระเนตรดูก็พบว่าเป็นศาลเจ้าแม่ทับทิม จึงทรงให้สร้างศาลขึ้นใหม่และมีการนำไม้ตะเคียนใหญ่มาทำเป็นเสาศาล พร้อมทั้งบวงสรวงตามประเพณี 

วันเวลาเปิด-ปิด: 06:00 – 18:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

11. วัดบางคลาน

วัดบางคลาน

CR : วัดหิรัญญาราม-วัดบางคลาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

วัดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งยุครัตนโกสินทร์ตอนกลางที่คนไทยเคารพนับถือ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านวิทยาคมโดยเฉพาะวิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเมตตามหานิยม วัตถุมงคลของท่าน เช่น รูปหล่อ เหรียญและตะกรุด เป็นที่เสาะแสวงหาของผู้คนมากมาย นอกจากนี้ หลวงพ่อเงินยังเป็นที่เคารพนับถือในฐานะหมอยาที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยสมุนไพร โดยเฉพาะโรคอหิวาตกโรคที่ระบาดในสมัยนั้น ท่านได้ช่วยเหลือผู้คนไว้เป็นจำนวนมากจนได้รับสมญานามว่า ‘เทพเจ้าแห่งโพทะเล’ ปัจจุบันวัดบางคลานยังคงเป็นสถานที่สำคัญที่ผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางมาสักการะรูปหล่อหลวงพ่อเงินและรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

12. สถานีรถไฟพิจิตร

สถานีรถไฟพิจิตร

CR : Facebook สถานีรถไฟพิจิตร

สถานที่ที่เป็นมากกว่าสถานีรถไฟ เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางและจุดถ่ายรูปสุดคลาสสิกสุดวินเทจ ด้วยสถาปัตยกรรมอาคารสถานีที่สวยงาม คงกลิ่นอายของอดีตกับอาคารไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง ทาสีเหลืองคาดน้ำตาล ประดับด้วยไม้ฉลุลายอย่างประณีต ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในประเทศไทย เหมาะแก่การแวะถ่ายรูปเช็กอิน โดยเฉพาะมุมมหาชนอย่าง ‘ป้ายสถานีรถไฟพิจิตร’ ที่ใคร ๆ ก็ต้องมาแชะภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก บรรยากาศรอบ ๆ สถานียังคงความคลาสสิก มีร้านค้า ร้านอาหารและรถสามล้อเครื่องให้บริการ เสมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต หากใครมาเที่ยวพิจิตร อย่าลืมแวะมาเช็กอินที่นี่ รับรองว่าได้รูปสวย ๆ กลับไปแน่นอน

วันเวลาเปิด-ปิด: สามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งวันในเวลาราชการ 08:00 – 17:00 น. 

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

13. สถานีรถไฟตะพานหิน

สถานีรถไฟตะพานหิน

สถานีรถไฟที่สวยงามของเมืองพิจิตรอีกหนึ่งแห่งที่ไม่ควรพลาดเช็กอิน! ถ่ายรูป คือ สถานีรถไฟตะพานหิน สถานีรถไฟเก่าแก่ที่มีเสน่ห์ด้วยอาคารสถานีที่มีการออกแบบและก่อสร้างสถาปัตยกรรมสไตล์คลาสสิก ตัวอาคารสถานีเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทาสีเหลืองครีมตัดกับขอบสีน้ำตาล ที่สะท้อนถึงสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 6 ปัจจุบันยังคงเปิดให้ใช้งานอยู่และได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แม้จะเป็นสถานีรองจากสถานีรถไฟพิจิตรแต่ที่นี่ก็มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ มากมายให้ได้เก็บภาพประทับใจ ถือเป็นอีกจุดที่สายเซลฟี่ ถ่ายรูปเช็กอินและชื่นชอบการเดินทางสุดคลาสสิกด้วยรถไฟต้องห้ามพลาด

วันเวลาเปิดปิด: สามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งวันในเวลาราชการ 08:00 – 17:00 น. 

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

14. ดอกกระเจียวยักษ์ รักเขาโล้น

ดอกกระเจียวยักษ์ รักเขาโล้น จังหวัดพิจิตร

CR : สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดพิจิตร

ตื่นตาตื่นใจกับทุ่งดอกกระเจียวยักษ์สีชมพูอมม่วงที่บานสะพรั่งในช่วงฤดูฝน สัมผัสความงาม Unseen ของธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของพิจิตร โดยทุ่งดอกกระเจียวยักษ์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่บ้านรักไทย ตำบลชมพู อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองพิจิตรมากนัก จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถแวะมาเที่ยวชมได้ โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน ที่ดอกกระเจียวยักษ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ดอกกระเจียวแดง” จะพร้อมใจกันบานสะพรั่งทั่วทั้งหุบเขา เปลี่ยนพื้นที่บริเวณนี้ให้กลายเป็นสีชมพูอมม่วง ตัดกับสีเขียวขจีของต้นไม้โดยรอบ เป็นภาพที่สวยงามตระการตา ซึ่งนอกจากจะได้ชมความงามของดอกกระเจียวแล้ว ยังสามารถเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านในชุมชนและซื้อผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นติดไม้ติดมือเป็นของฝากได้อีกด้วย 

วันเวลาเปิด-ปิด: ช่วงฤดูฝน (กรกฎาคม – กันยายน) ควรสอบถามข้อมูลก่อนเดินทาง

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

15. วัดพระพุทธบาทเขาทราย

วัดพระพุทธบาทเขาทราย

CR : วัดเขาทราย 

ปีนเขาสู่ยอดวัด เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทอันศักดิ์สิทธิ์ ชมวิวทิวทัศน์มุมสูงของอำเภอทับคล้อจากพระอุโบสถของวัดพระพุทธบาทเขาทรายที่ตั้งอยู่บนยอดเขาหินปูนได้อย่างชัดเจน ภายในวัดประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองอันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้าน ได้สัมผัสทั้งความเงียบสงบและอากาศบริสุทธิ์ เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจและทำบุญเป็นอย่างยิ่ง มากกว่านั้นยังมีองค์พระพุทธไสยาศน์ (พระนอน) ปรางค์พระพุทธรูปประจำตัวของคนเกิดวันอังคารให้กราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย และอีกวันสำคัญทางศาสนาอย่างวันทำบุญตักบาตรเทโวฯ ที่จะมีพระภิกษุเดินลงมาบิณฑบาตจากยอดวัดทั้ง 2 ด้าน เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ตระการตา สายมูสะสมบุญไม่ควรพลาด  

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

16. วัดเขารูปช้าง

วัดเขารูปช้าง

CR : Facebook AmazingThailand 

วัดเขารูปช้างเป็นทั้งสถานที่ปฏิบัติธรรมและจุดชมวิวเมืองตะพานหินที่สวยงาม สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดย่อม มีหินขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายรูปช้างอยู่บริเวณเชิงเขา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดนั่นเอง ภายในมีบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ เหมาะแก่การมาปฏิบัติธรรม นอกจากนี้บนยอดเขายังเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์สีขาวขนาดใหญ่ทรงระฆังคว่ำ ซึ่งจากจุดนี้สามารถชมทัศนียภาพของเมืองตะพานหินในมุมสูงได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินจะยิ่งสวยงามอีกเท่าตัว

วันเวลาเปิด-ปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

17. วัดท่าหลวง จังหวัดพิจิตร

วัดท่าหลวง พิจิตร

ศูนย์รวมจิตใจอีกหนึ่งแห่งของชาวพิจิตรคือ วัดท่าหลวง เป็นวัดสำคัญของจังหวัดพิจิตร พระอารามหลวงริมแม่น้ำน่านมีอายุเก่าแก่กว่า 200 ปี ภายในพระอุโบสถประดิษฐานหลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยเชียงแสนที่หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่มีศิลปะเชียงแสนอันงดงามเป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่จัดการแข่งขันเรือยาวประเพณี ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของจังหวัดพิจิตรอีกด้วย 

วันเวลาเปิดปิด: 08:00 – 17:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

18. วัดศรีศรัทธาราม

วัดศรีศรัทธาราม

CR : พิจิตรไกด์.คอม

วัดศรีศรัทธาราม เดิมชื่อ ‘วัดห้วยยาว’ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ตำบลป่ามะคาบ เป็นวัดที่มีความสวยงามโดดเด่น สังเกตได้ตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าวัดสีขาวขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่อยู่ด้านใน และภายในวัดมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่สีทองอร่ามเป็นประธาน และมีรูปปั้นพญานาค 7 เศียร 2 ตน สีทองเหลืองอร่าม ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมแวะมาทำบุญ กราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและพักผ่อนหย่อนใจไม่ขาดสาย

วันเวลาเปิดปิด: 06:00 – 18:00 น.

ค่าเข้า: ไม่มีค่าเข้าชมสถานที่

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 18 สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดพิจิตรและสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่เราคัดสรรมาฝากกัน จะเป็นสายบุญ สายชิลล์ สายแอดเวนเจอร์ หรือสายกินก็มีครบจบในทริปเดียว ! ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ รับรองว่าจะได้สัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แตกต่าง อิ่มเอมทั้งกายและใจ ได้รูปสวย ๆ กลับไปอวดเพื่อน ๆ แน่นอน รีบแพ็กกระเป๋าแล้วออกไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของพิจิตรและเพชรบูรณ์ด้วยตัวคุณเอง แล้วจะรู้ว่าเมืองรองแห่งนี้ มีดีกว่าที่คิด !

ไซยาไนด์คืออะไร? ทำความรู้จักสารเคมีที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด

ไซยาไนด์… แค่ได้ยินชื่อหลายคนคงนึกกลัวจากข่าวที่เกิดขึ้น จนทำให้เกิดความระแวงอยู่ไม่น้อย แต่รู้หรือไม่ว่า ‘ไซยาไนด์’ เป็นสารเคมีที่อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดเสียอีกด้วย บทความนี้เราเลยจะพาคุณไปทำความรู้จักไซยาไนด์กัน ตั้งแต่ว่ามันคืออะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร สามารถพบได้ที่ไหนบ้าง ในธรรมชาติรอบตัวเรามีไซยาไนด์หรือไม่ อันตรายแค่ไหน รวมถึงประโยชน์ดี ๆ อย่างการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ และไขข้อข้องใจเกี่ยวกับไซยาไนด์ที่หลายคนอาจเข้าใจผิดให้ครบแล้วที่นี่

ทำความรู้จักไซยาไนด์ สารประกอบเคมี… ที่ใคร ๆ ก็มองว่าอันตราย

ไซยาไนด์ถูกจัดเป็นสารพิษอันตรายชนิดที่ 3 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่งหากครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต มีโทษทั้งจำและปรับ โดยในไซยาไนด์ตามโครงสร้างทางเคมี คือเป็นสารประกอบเคมีที่มี “ไซยาไนด์ไอออน (CN-)” เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอน (C) และไนโตรเจน (N) ซึ่งมีหลายชนิด เป็นได้ทั้งของแข็งในรูปแบบก้อนผลึก หรือผงสีขาว เป็นของเหลวสีใสไม่มีกลิ่น หรือในรูปแบบก๊าซที่ไม่มีสีแต่บางคนจะได้กลิ่นคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ 

และความจริงอันน่าเหลือเชื่อที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน… ว่ารอบตัวเรานั้นต่างรายล้อมไปด้วยไซยาไนด์อยู่ แบบที่เรียกได้ว่าแฝงตัวได้อย่างแนบเนียนเลยทีเดียว

ไซยาไนด์ในธรรมชาติ การแฝงตัว… ที่ใกล้ชิดกว่าที่คุณคิด

ไซยาไนด์ไม่ได้มีแค่ในห้องทดลองหรือโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังพบได้ในธรรมชาติ แถมยังอยู่ใกล้ตัวกว่าที่ใครหลายคนคิดอีกเสียด้วยซ้ำ

ไซยาไนด์ในธรรมชาติ ไซยาไนด์ในผักและผลไม้
  • พืชผักและผลไม้ มีพืชผักและผลไม้อย่างน้อย 1,000 ชนิด ที่เราคุ้นเคยกันดีซึ่งแน่นอนว่าสามารถสังเคราะห์ไซยาไนด์ได้ ตัวอย่างเช่น ฝ้าย ปอ มันฝรั่ง ถั่วฝักยาว ถั่วเหลือง หัวผักกาด ถั่วลันเตา กวางตุ้ง มันสำปะหลัง หน่อไม้สด ลูกท้อ ลูกแพร์ เชอร์รี ลูกพลัม ข้าวโพด เมล็ดแอปเปิ้ลและอัลมอนด์ เป็นต้น
  • สัตว์บางชนิด สัตว์บางชนิดก็สามารถสังเคราะห์ไซยาไนด์เพื่อป้องกันตัวได้ เช่น ตะขาบ กิ้งกือ เต่าทอง ผีเสื้อทั่วไปและผีเสื้อกลางคืน เป็นต้น
  • อาหารและของใช้ใกล้ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ เกลือ บุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า แม้กระทั่งกางเกงยีนส์ที่เราสวมใส่กัน

ไซยาไนด์ฟังดูอันตราย แล้วทำไม เราถึงไม่เป็นอะไรล่ะ ! 

แม้เราจะรู้แล้วว่าไซยาไนด์อยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมไซยาไนด์เหล่านั้นถึงไม่ส่งผลอะไรกับเราเลย ? 

นั่นเป็นเพราะไซยาไนด์มีหลายชนิด บางชนิดไม่เป็นพิษ บางชนิดมีระดับความเป็นพิษสูง โดยค่าเฉลี่ยของปริมาณไซยาไนด์ที่ทำให้เสียชีวิตเมื่อรับทางปากคือ 1-2 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งหากร่างกายรับไซยาไนด์ในปริมาณน้อยกว่าที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต แต่ก็สามารถทำให้เกิดอาการร่างกายอ่อนแรง ปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว ชักและอาจหมดสติได้ โดยความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณ ชนิด และระยะเวลาในการรับสัมผัสด้วย และนี่ก็คือตัวอย่างปริมาณไซยาไนด์ในธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเราอย่างพืชผักและผลไม้ที่เรายกตัวอย่างมาให้ ดังนี้

ไซยาไนด์ในผักและผลไม้

หมายเหตุ:

  • ข้อมูลในตารางเป็นค่าเฉลี่ยของปริมาณไซยาไนด์ในพืชผักซึ่งอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ฤดูกาล และสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูก
  • การรับประทานพืชผักในปริมาณปกติไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากปริมาณไซยาไนด์อยู่ในระดับที่ต่ำมากและร่างกายสามารถขับออกได้เอง
  • ควรล้าง ปอกเปลือก หรือปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนก่อนรับประทาน เพื่อลดปริมาณไซยาไนด์และสารพิษตกค้างอื่น ๆ ที่มีในผักและผลไม้ตามธรรมชาติ เช่น หน่อไม้ ผักกวางตุ้ง มันสำปะหลัง ถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น

การใช้ไซยาไนด์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ประโยชน์และความปลอดภัยที่ต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมพิเศษ

ในทางอุตสาหกรรมไซยาไนด์ถือเป็นสารเคมีสำคัญที่ใช้ในกระบวนการผลิต โดยไซยาไนด์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ ดังนี้

  • การทำเหมือง: ใช้ในการสกัดทองคำและโลหะมีค่าอื่น ๆ โดยถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองทองตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการละลายทองคำได้เสถียรที่สุด
  • การผลิตพลาสติก: ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลาสติก เช่น ไนลอน อะคริลิค
  • การชุบโลหะ: ใช้ในกระบวนการชุบโลหะเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทาน และความสวยงาม เช่น การชุบทอง ชุบเงิน ชุบโครเมียม เป็นต้น
  • การผลิตกระดาษ: ใช้ในกระบวนการฟอกเยื่อกระดาษโดยเฉพาะโซเดียมไซยาไนด์ เพื่อกำจัดสารลิกนิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้กระดาษมีสีเหลือง ช่วยให้ได้กระดาษที่ขาว สะอาด และมีคุณภาพ
  • การผลิตหนังเทียม: ใช้ในกระบวนการผลิตหนังเทียม เพื่อปรับสภาพผิวและเพิ่มความทนทานของหนังเทียม

ทั้งนี้ การใช้ไซยาไนด์ในแต่ละอุตสาหกรรมต่างมีข้อกำหนดความปลอดภัยมาตรฐานระดับสากล ดังเช่น ที่เหมืองทองชาตรีจากอัครา เรามีนวัตกรรมการควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์ที่ดูแลโดยผู้ชำนาญการและมากประสบการณ์, มีการใช้ระบบ Sparge ร่วมกับเทคโนโลยีในการขนส่งและจัดเก็บไซยาไนด์ (Isotainer) ที่ปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสและป้องกันการรั่วไหล รวมถึงเทคโนโลยีในการคำนวณค่าไซยาไนด์ที่ต้องใช้ในการผลิตแต่ละครั้ง เพื่อให้นำมาใช้ได้อย่างใกล้เคียงความต้องการที่สุด, การกักเก็บกากแร่โดยไม่มีการปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมที่ปิดล้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า TSF (Tailings Storage Facilities) นวัตกรรมมาตรฐานโลกที่ป้องกันการรั่วซึมถึง 5 ชั้น ให้ความมั่นใจว่าไม่มีการรั่วซึมสู่ภายนอก ซึ่งรับรองโดยหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection Division of Nevada State, USA) พร้อมการออกแบบให้ไซยาไนด์ที่หลงเหลือจากกระบวนการสกัดทองคำสลายตัวด้วยความร้อนและแสงจากดวงอาทิตย์ โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยรอบ อีกทั้งยังมีการหมุนเวียนน้ำจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่โดยไม่มีการปล่อยออกไป รวมถึงการมีไซยาไนด์แอนตี้โดส หรือยาต้านพิษไซยาไนด์ ที่สำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับไซยาไนด์ สารหนูและแมงกานีส
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าไซยาไนด์เป็นโลหะหนักเช่นเดียวกับสารหนูและแมงกานีส แต่จริง ๆ แล้วไซยาไนด์เป็นสารประกอบเคมีที่ใช้ในการสกัดทองคำออกจากแร่เท่านั้น ส่วนสารหนูและแมงกานีสเป็นโลหะหนักที่สามารถพบเจอได้ตามแหล่งธรรมชาติ เช่น ในหินแร่ต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิตเหมืองทองคำ

ไซยาไนด์ สารเคมี 2 ด้านที่มีประโยชน์แต่ก็ยังมีความอันตราย การใช้ไซยาไนด์จึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและจัดการอย่างถูกวิธี  เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อผู้ปฏิบัติงาน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม

ไซยาไนด์ เรียกได้ว่าเป็นสารเคมีที่อยู่คู่กับโลกใบนี้มาเนิ่นนาน แถมยังอยู่ใกล้ตัวเสียจนน่าตกใจดังเช่นที่เราให้ข้อมูลไว้ข้างต้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้จะมีฤทธิ์รุนแรงแค่ไหน ก็ยังมีบทบาทสำคัญในวงการอุตสากรรมไม่น้อย ดังนั้น การทำความเข้าใจและเรียนรู้วิธีการป้องกันตัวเองจากพิษของไซยาไนด์จากธรรมชาติ และการใช้งานอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยให้เราสามารถใช้ประโยชน์และอยู่ร่วมกับไซยาไนด์ได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อตนเองและสิ่งแวดล้อม

แหล่งอ้างอิง:
– กรมอนามัยและควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุข
– การศึกษารวบรวมความรู้เรื่องไซยาไนด์ และเกณฑ์มาตรฐานสากลเกี่ยวกับการใช้สารไซยาไนด์ รศ.ดร.พษิณุ บุญนวล, รศ.ดร.เกรียงศักด์ศรีสุข และโพยม สราภิรมย์
– ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับไซยาไนด์ จุฑารัตน์ อาชวรัตน์ถาวร สำหนักอุตสาหกรรมพื้นฐาน กรมอุตสาหกรรพื้นฐานและการเหมืองแร่
– Agency for Toxic Substances and Disease Registry (ATSDR)
– World Health Organization (WHO)
– Food Standards Australia New Zealand (FSANZ)

Master K EP.5 1 ปีเต็มกับการทดลองในบ่อเหมือง C ของมาสเตอร์ K จะเผยให้เห็นอะไรบ้าง?

1 ปีเต็มกับการทดลองในบ่อเหมือง C ของมาสเตอร์ K จะเผยให้เห็นอะไรบ้าง? 🤔 จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อปลูกพืช 🌾และเลี้ยงปลา🐟โดยใช้น้ำจากบ่อเหมืองนี้? ตามไปหาคำตอบด้วยกันในคลิปนี้เลย! 💙💛

อัครายืนยันบ่อกักเก็บกากแร่ไม่รั่ว การดำเนินงานเป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมแสดงหลักฐานยืนยันความปลอดภัย

ตามที่มีการรายงานข่าวศาลปกครองกลาง (“ศาล”) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาว่า ได้มีคำพิพากษายกฟ้องกรณีที่บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (“กพร.”) ที่สั่งให้บริษัทดำเนินการแก้ปัญหาการรั่วซึมของบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 และแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในบริเวณพื้นที่โครงการให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (“คำสั่ง”) นั้น บริษัทขอชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของทุกฝ่าย ดังนี้

  • คำวินิจฉัยดังกล่าวเกิดจากการที่บริษัทได้ฟ้องร้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของ กพร. เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561 ที่ให้บริษัทดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่มีความชัดเจน ไม่มีรายละเอียดที่สามารถปฎิบัติได้ โดยคำสั่งได้อ้างผลการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหา ข้อขัดแย้ง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากการทำเหมืองแร่ทองคำชาตรีของบริษัท ที่มีมติโดยอาศัยข้อมูลจากรายงานการศึกษาที่มีกรรมการให้ความเห็นชอบ 7 คน และไม่เห็นชอบ 6 คน งดออกเสียงมากกว่า 10 คน จากจำนวนกรรมการทั้งหมดที่ไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากไม่มีการนับองค์ประชุม ถือได้ว่ามติดังกล่าวไม่เป็นเอกฉันท์ และมีผู้ออกเสียงไม่ถึงครึ่งของจำนวนกรรมการที่มีอยู่ในคณะ ประการสำคัญ คณะกรรมการชุดดังกล่าวยังไม่ได้ให้การรับรองรายงานการประชุมครั้งนี้ นอกจากนี้ ยังมีข้อที่น่าสังเกตว่า ยังมีความเห็นแย้งของนักวิชาการที่ประกอบเป็นคณะทำงานย่อยผู้เชี่ยวชาญฯ ที่เสนอเรื่องขึ้นมา แสดงไว้เป็นลายลักษณ์อักษรที่ปกรองของรายงานว่า “อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อคิดเห็นของคณะทำงานย่อยผู้เชี่ยวชาญฯ บางท่านที่มีความเห็นแตกต่างจากรายงานฉบับสมบูรณ์ ซึ่งสามารถพิจารณารายละเอียดข้อคิดเห็นของผู้ที่มีความเห็นแตกต่างดังกล่าวในภาคผนวกของรายงานฉบับสมบูรณ์” อันแสดงให้เห็นว่า แม้แต่คณะทำงานย่อยผู้เชี่ยวชาญฯ ที่กำกับดูแลการจัดทำรายงานนี้ ก็ยังไม่สามารถสรุปสาระสำคัญของรายงานได้
  • อย่างไรก็ดี ในระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งบริษัท และ กพร. ได้มีความพยายามหาทางออกในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบการตามแนวทางของรัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งมีการร่วมกันแก้ไขปัญหาที่ดำรงอยู่ โดยมีการปฎิบัติตาม พ.ร.บ. แร่ 2560 และกรอบนโยบายบริหารจัดการแร่ทองคำ พ.ศ. 2560 เช่น การจัดทำข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน การจัดทำแนวพื้นที่กันชนการทำเหมือง การจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่าการประกอบการของบริษัทเป็นไปตามมาตรฐานสากล และไม่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดทำแผนการปิดบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 และแผนการฟื้นฟูบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 ซึ่งเป็นข้อสั่งการของ กพร. เพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ตามหนังสือ ที่ อก 0512/4801 ลงวันที่ 14 กันยายน 2560 ให้ กพร. พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว และบริษัทดำเนินงานตามแผนเหล่านี้ต่อเนื่อง โดยมีการติดตามตรวจสอบ ตรวจวัด อย่างเข้มงวดเป็นรายไตรมาสจากคณะเจ้าหน้าที่ซึ่งประกอบด้วย กพร. สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เขต 5 พิษณุโลก สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 4 นครสวรรค์ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเพชรบูรณ์และพิจิตร รวมทั้งผู้แทนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอีกจำนวนหนึ่ง จนบริษัทได้รับอนุญาตต่ออายุประทานบัตร และใบอนุญาตประกอบโลหกรรมในปี พ.ศ. 2564 และ 2565 ตามลำดับ
  • สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 นั้น บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้จัดทำโครงการ “ตรวจสอบเสถียรภาพและโอกาสการรั่วซึมของบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1” เพื่อให้เกิดความชัดเจนและมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเป็นระบบ โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งการดำเนินการศึกษาเป็นไปตามแผนงานที่เสนอ และได้รับความเห็นชอบในที่ประชุมที่มีผู้บริหารของ กพร. และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565 ผลการศึกษาของโครงการดังกล่าวมีข้อสรุปรายงานลงวันที่ 13 กันยายน 2567 ว่า บ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 ของบริษัทไม่ได้รั่วซึมแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทได้ส่งรายงานฉบับดังกล่าวให้ กพร. แล้ว เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567
  • นอกจากนี้ ภายหลังได้กลับมาประกอบกิจการเมื่อเดือนมีนาคม 2566 บริษัทได้ดำเนินการทุกอย่างภายใต้การกำกับดูแลและตรวจสอบจากหน่วยงานราชการที่มีอำนาจหน้าที่อยู่เสมอ รวมทั้งจัดให้มีการตรวจสุขภาพประจำปีให้แก่พนักงานและประชาชนรอบเหมืองในรัศมี 5 กิโลเมตร ซึ่งผลการตรวจโลหิตและปัสสาวะจากห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลรามาธิบดี ไม่พบสิ่งผิดปกติอันบ่งชี้ถึงการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิตประจำวัน
  • บริษัทยังมีรายงานการตรวจสอบมาตรฐานการดำเนินกิจการเหมืองแร่ทองคำชาตรี โดยบริษัทที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เป็นผู้คัดเลือก คือ แบร์ โดแบร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด (Behre Dolbear International Limited) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบและประเมินการปฏิบัติงานของเหมืองทองทั่วโลกยาวนานกว่า 100 ปี มาสอบทานการดำเนินงานของบริษัทอย่างละเอียดทุกขั้นตอน โดยผลการประเมินพบว่า มีความปลอดภัย เป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในทุกขั้นตอนทำให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม เทียบเท่าเหมืองแร่ชั้นนำทั่วโลก และไม่พบการรั่วไหลของโลหะหนักจากบ่อกักเก็บกากแร่สู่ชุมชนแต่อย่างใด
  • นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ หัวหน้าผู้จัดการทั่วไปของบริษัท กล่าวว่า ประเด็นที่เป็นข้อพิพาทนั้นเป็นเรื่องที่เกิดมาก่อนหน้านี้หลายปี แต่เพิ่งมีคำสั่งของศาลปกครองออกมา ในขณะที่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมามีความพยายามจากทั้งสองฝ่ายในการแก้ไขปัญหาด้วยดี บริษัทได้ปฏิบัติตามคำสั่งและคำแนะนำต่างๆ อย่างเคร่งครัด ในส่วนของคดีความนั้น ขณะนี้ ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและฝ่ายกฎหมายของบริษัทกำลังพิจารณาแง่มุมต่างๆ เพื่อหาข้อสรุปทั้งในเชิงข้อกฎหมาย และในเชิงเทคนิควิชาการในรายงานที่คำสั่งของ กพร. อ้างถึง อีกทั้งบริษัทยังมีรายงานการศึกษาจากหน่วยงานกลางที่ กพร. ให้ความเห็นชอบข้อเสนอโครงการยืนยันผลว่า บ่อกักเก็บเก็บกากแร่ของบริษัทไม่มีการรั่วซึมแต่อย่างใด นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลภายในของบริษัทที่ได้เก็บรวบรวมจากการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ กพร. และหน่วยงานกำกับดูแลเสมอมา ขอยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การดำเนินงานของบริษัทมีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งพนักงานและครอบครัว รวมถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทราบดี และให้การสนับสนุนบริษัทด้วยดีเสมอมา

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ คุณนฤอร เกลาเทียน 08-9522-6169 ฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ. อัครา รีซอร์สเซส

เจาะลึกเรื่องทองคำบริสุทธิ์และทองเค จากสายแร่สู่เครื่องประดับ

ไขความลับ ประกายแห่งความล้ำค่ากับ “ทองคำ” โลหะจากธรรมชาติที่ทรงคุณค่าและเป็นที่ปรารถนาของผู้คนทั่วโลก ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นทั้งทางวิทยาศาสตร์และความงดงามเปล่งประกายเหนือกาลเวลา จึงไม่น่าแปลกใจที่ทองคำจะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและเป็นที่ต้องการในทุกมุมโลก ยิ่งใกล้วันปีใหม่แบบนี้หลายคนอาจกำลังมองหาของขวัญล้ำค่าเพื่อมอบให้กับคนพิเศษ แน่นอนว่าทองคำเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมเสมอ 

หากแต่ท่ามกลางกระแสข่าว “ทองคำแท้ ทองคำปลอม” เมื่อไม่นานมานี้ได้สร้างความกังวลใจให้กับประชาชนที่สนใจลงทุนกับทองคำด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ไม่น้อย เหมืองทองอัคราผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำจึงขออาสาพาทุกคนมาเจาะลึกเรื่องทองคำ เพื่อสร้างความเข้าใจและเสริมความมั่นใจในการเลือกซื้อทองคำเป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่และเทศกาลวันสำคัญต่าง ๆ ตั้งแต่แหล่งกำเนิด กระบวนการสกัด ความแตกต่างระหว่างทองคำบริสุทธิ์ ทองเค และทองปลอม รวมถึงความมุ่งมั่นของเราในการผลิตทองคำคุณภาพระดับโลกส่งสินค้าไทยสู่สายตาชาวโลกทองคำ เหมืองทอง

ทองคำ… กำเนิดแห่งความล้ำค่า

ทองคำ เป็นแร่ชนิดหนึ่งที่เกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาที่ซับซ้อน โดยมักพบในสายแร่ควอตซ์ หินแกรนิต และแหล่งลานแร่ ลักษณะเด่นของทองคำ คือ มีสีเหลืองทองอร่าม มีความอ่อนตัว สามารถดัดแปลงรูปทรงได้ง่าย ทนทานต่อการกัดกร่อนและไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เพียงแค่ความโดดเด่นทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ทองคำยังมีบทบาทสำคัญในหลากหลายอารยธรรม หนึ่งในนั้นคือ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความมีอำนาจในสังคมไทย หรือแม้แต่ทั่วโลกเองก็ตาม 

โดยครั้งหนึ่งทองคำเคยถูกใช้เป็น ‘ระบบมาตรฐานทองคำ’ (Gold standard) ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานการเงินระหว่างประเทศระบบแรกของโลก แม้ว่าจะถูกยกเลิกไปแล้วแต่ทองคำก็ยังมีความสำคัญต่อระบบการเงินมาโดยตลอด อีกทั้งทองคำยังถูกจัดให้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ที่ไม่ว่าจะมีวิกฤตระดับโลกน่าเป็นห่วงขนาดไหน ทองคำก็จะเป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่มีมูลค่าพุ่งขึ้นสวนทางกับวิกฤตที่เกิดขึ้นเสมอ รวมถึงทองคำมักถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา ประเพณีต่าง ๆ และเป็นเครื่องประดับที่แสดงถึงฐานะและความสง่างามอีกด้วย

จากสินแร่สู่ทองคำ เบื้องหลังความงดงามและมั่งคั่ง

การสกัดทองคำ ทองคำจากสินแร่

การสกัดทองคำออกจากสินแร่เป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนเครื่องมือ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย โดยขั้นตอนหลักในการสกัดทองคำออกจากสินแร่มี ดังนี้

  1. การบดละเอียด: นำสินแร่ทองคำมาทำการบดให้ละเอียดเพื่อเปลี่ยนรูปเป็นสินแร่เปียก
  2. การสกัด: ใช้โซเดียมไซยาไนด์ในการชะละลายทองคำออกจากสินแร่ โดยมีเม็ดถ่านกะลามะพร้าวที่จะดูดซับทองคำเอาไว้ ก่อนจะนำไปแยกเป็นสารละลายทองคำเข้มข้น และใช้เซลล์ไฟฟ้าในการดักจับโลหะทองคำก่อนที่จะนำไปหลอมเป็นแท่งโลหะทองคำ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือนวัตกรรมในการควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์
  3. การทำให้บริสุทธิ์: นำโลหะทองคำที่สกัดได้ไปผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ ก่อนจะถูกนำไปทำเป็นทองรูปพรรณ หรือนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

ที่เหมืองทองอัครา เราตระหนักถึงความสำคัญของการทำเหมืองอย่างมีความรับผิดชอบ ด้วยการรักษาสถิติการเป็นผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำที่ปลอดภัยสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก เราจึงเลือกใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น นวัตกรรมการควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์ การกักเก็บกากแร่โดยไม่มีการปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม  บ่อกักเก็บกากแร่ที่มีระบบป้องกันการรั่วซึมที่ได้การรับรองมาตรฐานระดับสากล การหมุนเวียนน้ำจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ นวัตกรรมการระเบิดที่ช่วยลดเสียง ลดฝุ่น เพื่อลดผลกระทบต่อธรรมชาติและชุมชนโดยรอบ

ไขข้อข้องใจทองคำแท้ ทองคำบริสุทธิ์ vs. ทองเค vs. ทองปลอม ต่างกันอย่างไร? รู้ไว้จะได้ไม่โดนหลอก

ในโลกของทองคำ “ความบริสุทธิ์” คือ สิ่งสำคัญที่สุดที่กำหนดทั้งมูลค่าและคุณสมบัติของทองคำ โดยทองคำบริสุทธิ์ ทองเค และทองปลอมล้วนมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

1. ทองคำบริสุทธิ์ (24K) มาตรฐานแห่งความล้ำค่า

ทองคำบริสุทธิ์ (24K)

ทองคำบริสุทธิ์ หรือทอง 24K เป็นทองคำแท้มีค่าความบริสุทธิ์สูงสุดถึง 99.99% หมายความว่าในทองคำ 1,000 ส่วน จะมีทองคำบริสุทธิ์ 999.9 ส่วน แต่ทั้งนี้ ตามมาตรฐานของประเทศไทย มีการใช้มาตรฐานความบริสุทธิ์ของทองคำที่ 96.5% หรือ 23.16K ที่ถูกกำหนดโดยสมาคมค้าทองคำและสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)

ซึ่งลักษณะของทองคำบริสุทธิ์ หรือทอง 24K มักจะมีสีเหลืองเข้ม เนื้ออ่อนนิ่ม ดัดแปลงรูปทรงได้ง่าย เป็นรอยขีดข่วนได้ง่าย เพียงแค่กัดก็อาจมีรอยได้แล้ว จึงมักนิยมนำไปทำทองคำแท่ง เหรียญทองคำและเครื่องประดับบางประเภท เช่น สร้อยคอ กำไล 

2. ทองเค (Karat Gold) ความแข็งแกร่งที่ลงตัว

ทองเค (Karat Gold)

ทองเค คือ ทองคำที่มีการผสมกับโลหะอื่น ๆ ทำให้ค่าความบริสุทธิ์ย่อมลดลงตามสัดส่วนของโลหะที่ผสม โดยคำว่า ‘เค หรือ K’ ย่อมาจากกะรัต (Karat) เป็นตัวที่บ่งบอกว่ามีสัดส่วนของทองคำบริสุทธิ์จำนวนเท่าไหร่นั่นเอง ซึ่งโลหะอื่น ๆ ที่นิยมนำมาผสมส่วนใหญ่ คือ โลหะเงินหรือทองแดง เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ความทนทานและเปลี่ยนสีสันให้กับตัวทองคำ โดยส่วนมากนำไปใช้ในวงการอุตสาหกรรมเครื่องประดับอัญมณี อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงการคมนาคมและการสื่อสาร ซึ่งทองเคที่ถูกนำมาใช้บ่อย ๆ หรือมักคุ้นหูมีดังนี้

  • ทอง 18K มีทองคำ 75% ให้เฉดสีเหลืองขาว นิยมใช้ทำเครื่องประดับ
  • ทอง 14K มีทองคำ 58.33% ให้เฉดสีเหลืองขาว นิยมใช้ทำเครื่องประดับและใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
  • ทอง 9K มีทองคำ 37.5% ให้เฉดสีเหลืองซีด นิยมใช้ทำเครื่องประดับที่มีราคาย่อมเยาและใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

3. ทองปลอม ของเลียนแบบที่ต้องระวัง

ทองปลอม ของเลียนแบบที่ต้องระวัง

เพราะทองคำเป็นสิ่งที่มีมูลค่า จึงดึงดูดเหล่าผู้ไม่ประสงค์ดีและทำให้เกิดการปลอมทองเพื่อหลอกขายให้เห็นได้บ่อยครั้ง ซึ่งทองปลอม คือ ทองที่มีค่าความบริสุทธิ์ต่ำมาก ๆ หรือเป็นการนำโลหะและวัสดุอื่น ๆ มาชุบ หรือเคลือบด้วยทองคำ เพื่อให้มีสี น้ำหนักและรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายทองคำแท้ แต่คุณสมบัติและมูลค่านั้นแตกต่างกันมาก โดยการสังเกตทองปลอม-ทองแท้ ให้ตรวจสอบเบื้องต้นด้วยวิธีเหล่านี้

  • สังเกตตราประทับ ทองคำแท้จะมีตราประทับแสดงค่าความบริสุทธิ์ เช่น 96.5%, 99.99% หรือ 24K, 18K
  • ทดสอบด้วยแม่เหล็ก โดยทองคำแท้จะไม่ดูดติดกับแม่เหล็ก
  • ทดสอบความแข็ง เนื่องจากทองคำบริสุทธิ์จะอ่อนนิ่ม เมื่อขูดหรือกัดเบา ๆ จะเห็นรอย
  • ใช้น้ำยาตรวจสอบทอง ซึ่งวิธีนี้อาจต้องให้ร้านทอง หรือผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบให้
  • ราคาสมเหตุสมผล เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวมันเองและมีการกำหนดราคากลางโดยสมาคมค้าทองคำ ดังนั้น หากพบราคาทองคำที่ต่ำกว่าราคากลาง หรือมีโปรโมชันราคาถูกมาก ๆ นั่นอาจเป็นทองคำปลอมได้

อัครา… เหมืองทองระดับโลกของไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำคุณภาพเพื่อคนไทย สู่สายตาโลก

ที่เหมืองทองอัครา เรามุ่งมั่นในการผลิตทองคำคุณภาพตามมาตรฐานสากล และด้วยวิสัยทัศน์ ทองไทย เพื่อคนไทย สู่สายตาโลก” อัครา จึงได้ส่งทีมงานไปร่วมทำงานกับ บริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด หรือ ‘พีเอ็มอาร์ (PMR)’ เพื่อให้ทำการแปรรูปและสกัดทองแท่งโดเร่ของอัคราให้ได้ทองคำที่มีค่าความบริสุทธิ์ 99.99% ตามมาตรฐานสากล ก่อนส่งต่อให้บริษัท ออสสิริส จำกัด ซึ่งมีรากฐานจากการเป็นช่างทองไทยมาก่อน นำไปใส่อัตลักษณ์ความเป็นไทย ขึ้นรูปให้เป็นทองคำรูปพรรณคุณภาพส่งออกสู่สายตาโลกต่อไป 

เรียกได้ว่าเป็นการเชื่อมสายการผลิตทองคำของไทยตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ในการพาสินค้าที่ผลิตด้วยทองคำและเงินของไทยผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากประเทศคู่ค้า เช่น การลดหย่อนภาษีนำเข้าของประเทศปลายทาง จากการใช้ทองคำและเงินที่สกัดและแปรรูปในไทย ตามหลักเกณฑ์ที่มีสัดส่วนมูลค่าการผลิตและวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) และสร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างประเทศ ลดการนำเข้าและลดการขาดดุลการค้า รวมถึงการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต และการค้าทองคำครบวงจรที่ได้มาตรฐานสากลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หลังจากที่เหมืองทองอัคราได้พาไปรู้จักเรื่องราวของทองคำทั้งกระบวนการสกัด ความแตกต่างระหว่างทองคำบริสุทธิ์ ทองเคและทองปลอม มาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนที่กำลังมองหาทองคำไว้เป็นของขวัญแทนใจต้อนรับปีใหม่ หรือเทศกาล วันสำคัญต่าง ๆ คงเลือกหาและตัดสินใจซื้อทองคำของแท้ได้สบายใจมากขึ้นแล้ว แต่เพื่อความมั่นใจควรเลือกซื้อทองจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบตราประทับได้ และมีใบรับประกันเพื่อให้แน่ใจว่าทองที่ซื้อเป็นทองแท้นั่นเอง

 

อัครา รีซอร์สเซส จำกัด เข้าร่วมโครงการอุตสาหกรรมสีเขียว

เนื่องด้วย บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมโครงการอุตสาหกรรมสีเขียว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน โดยยึดมั่นในการประกอบกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งทางบริษัทฯ มีความยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า บริษัทฯ ได้รับการรับรองเป็น “อุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 1: ความมุ่งมั่นสีเขียว” จากกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อแสดงว่าเราได้มีความมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีการสื่อสารภายในองค์กรให้ทราบโดยทั่วกัน

ตรวจสุขภาพชุมชนรอบเหมือง โครงการเพื่อชุมชนและสังคมผ่านความตั้งใจดีของอัครา

“สุขภาพดี ชีวิตสดใส” หัวใจสำคัญของการพัฒนา เพราะสุขภาพที่ดี คือ สิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต เป็นรากฐานสำคัญของการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นขุมพลังแห่งการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่เหมืองทองอัคราเราตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อชุมชนและความสำคัญของการมีสุขภาพดีเสมอมา จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับชุมชนรอบเหมือง ด้วยการขับเคลื่อนเจตนารมณ์ผ่านโครงการเพื่อชุมชนและสังคมภายใต้ชื่อ ‘โครงการตรวจสุขภาพชุมชน’ ที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยและความตั้งใจดีจากเหมืองทองอัครา 

“อัคราเพื่อชุมชน” โครงการตรวจสุขภาพ… ส่งเสริมสุขภาพดี ทั่วพื้นที่รอบเหมือง

วันที่ 22 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา เหมืองทองอัครา นำโดยคุณเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ได้นำโครงการดี ๆ เพื่อชุมชนอย่างโครงการตรวจสุขภาพ… ส่งเสริมสุขภาพดีประจำปีที่เปรียบเสมือนโมบายคลินิก ภายใต้แนวคิด ‘เหมืองแร่ปลอดภัย ห่วงใยประชาชน’ ซึ่งได้ดำเนินการมาทุกปีอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่รอบเหมือง โดยเปิดให้ชาวบ้าน 3 อำเภอรอบเหมืองอยู่ติดกับเขตระยะปลอดภัยรัศมี 5 กม. จำนวน 28 หมู่บ้านใกล้เหมืองทองอัครา หรือประมาณ 700 คน เข้าตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งมีการให้บริการตรวจสุขภาพที่หลากหลายและครอบคลุม

  • ตรวจร่างกายทั่วไป: มีการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันโลหิต ตรวจเลือดเพื่อตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การทำงานของตับและไต เอ็กซเรย์ปอด ทดสอบสมรรถภาพปอด รวมถึงการตรวจปัสสาวะที่จะส่งให้กับแล็บของโรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งเป็นแล็บที่ได้มาตรฐาน
  • ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ: หลังได้ข้อมูลสุขภาพเกี่ยวกับพื้นฐานน้ำหนัก ส่วนสูง ความดันโลหิต และได้รับการสัมภาษณ์พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) แล้ว จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีวเวชศาสตร์คอยให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพจากข้อมูลที่ได้อีกครั้ง รวมถึงการตรวจร่างกายเพิ่มเติม นอกจากนี้บริเวณรอบพื้นที่ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอย่างสาธารณสุขท้องถิ่นที่มาออกบูธให้ข้อมูลความรู้เรื่องสุขภาพด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคภัย การเฝ้าระวังสุขภาพและการยืนยันตัวตนเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพอีกด้วย

“อัคราเพื่อชุมชน” สุขภาพดี เริ่มต้นที่นี่ !

สำหรับโครงการเพื่อชุมชนและสังคมอย่างโครงการตรวจสุขภาพ หรือโมบายคลินิกที่ทางอัคราได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีนี้ เกิดขึ้นได้จากงบประมาณที่จัดสรรไว้จำนวน 3% ตามที่รัฐกำหนด และแบ่งส่วนเข้าสู่ ‘กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ’ ที่นอกเหนือจากการจ่ายค่าภาคหลวงแร่ ซึ่งสอดรับกับจุดมุ่งหมายของการเป็นเหมืองปลอดภัย ห่วงใยประชาชน เพื่อมอบประโยชน์มากมายทั้งต่อชาวบ้านและชุมชน ดังนี้

  • การเข้าถึงบริการสุขภาพ: ชาวบ้านสามารถเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพได้สะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • เฝ้าระวังปัญหาสุขภาพ: ช่วยให้ชาวบ้านมีข้อมูลสุขภาพของตนเอง และสามารถเฝ้าระวัง ป้องกัน พร้อมเข้าถึงการรักษาโรคได้อย่างทันท่วงที
  • ลดความเหลื่อมล้ำ: ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
  • พัฒนา “ระบบสุขภาพชุมชน”: ต่อยอดจากการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพในทุกปีทำให้เกิดเป็นระบบสุขภาพชุมชน และกลายเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสุขภาพชุมชนให้เข้มแข็ง ห่างไกลโรคภัยได้อย่างยั่งยืน
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: นอกจากชุมชนจะได้รับทราบปัญหาสุขภาพ และแนวทางการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างอัคราและชุมชน เพื่อร่วมดูแลซึ่งกันและกันอีกด้วย

ประมวลผลภาพโครงการตรวจสุขภาพเพื่อชุมชนและสังคมรอบเหมือง
“โครงการเหมืองปลอดภัย ห่วงใยประชาชน 2567”

“รู้สึกดีมากค่ะ ตอนนี้สุขภาพปกติดีค่ะ แล้วก็อยากให้มีอีกค่ะ”
– คุณเรียม บุญไทย ชาวบ้านจากชุมชนรอบเหมือง –

“ทุกคนดีใจครับ เขาอยากมาตรวจว่าตัวเองเป็นโรคอะไร อย่างไรบ้าง
อยากให้อัคราทำโครงการดี ๆ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ครับ เพื่อชาวบ้านและชุมชนรอบเหมือง”
– คุณสมชาย แหลมนาค ผู้ใหญ่บ้านจากชุมชนรอบเหมือง –

นอกเหนือจากโครงการดี ๆ อย่างโครงการตรวจสุขภาพเพื่อชุมชนและสังคมรอบเหมืองที่เราได้จัดตั้งขึ้นมาแล้ว ภายในโครงการนี้ยังมีกิจกรรมจับฉลากให้รางวัลกับผู้เข้าร่วมตรวจสุขภาพอีกด้วย โดยรางวัลใหญ่ในครั้งนี้เป็นทองคำคุณภาพจากเหมืองทองอัครา รถจักรยานและอื่น ๆ อีกหลากหลายรายการ รวมไปถึงยังมีโซนให้ชาวบ้านมาเปิดร้านขายของ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากชุมชนแต่ละท้องที่ จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างรายได้ให้กับชุมชนด้วย

“ความรับผิดชอบต่อชุมชน” คือ หัวใจของอัครา… ที่เหมืองทองอัคราเรามุ่งมั่นที่จะเป็น “เพื่อนแท้” ของชุมชน เคียงข้าง และดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งเราเชื่อมั่นว่า “สุขภาพ” คือ รากฐานสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นำมาสู่โครงการตรวจสุขภาพเพื่อชุมชนและสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในความตั้งใจดีที่เราพร้อมมอบให้กับชุมชนเพื่อสร้างสังคมที่แข็งแรงและยั่งยืนร่วมกัน

“ชาตรี” สุดยอดนักธรณีไทย ผู้ร่วมบุกเบิกเหมืองแร่ทองคำชาตรีสู่เหมืองทองคำมาตรฐานโลก

เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางคนถึงเรียกชื่อเหมืองแร่ทองคำอัคราว่า ‘เหมืองแร่ทองคำชาตรี (Chatree Gold Mine)’ ? เป็นเพราะเจ้าของชื่อชาตรี หรือเพราะอะไร วันนี้… เราขอพาทุกท่านไปค้นหาคำตอบที่มาของชื่อเหมืองทองและสัมผัสเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจกับนักธรณีวิทยาไทยคนเก่งที่น่ายกย่อง “คุณชาตรี ชัยชนะพูลผล” ผู้ร่วมบุกเบิกค้นพบสายแร่ทองคำคุณภาพในประเทศไทย จนนำไปสู่การกำเนิด “เหมืองแร่ทองคำชาตรี” และก้าวสู่การเป็นเหมืองแร่ทองคำคุณภาพระดับโลกในนาม “เหมืองแร่ทองคำอัครา” ณ ปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นเหมืองแร่ทองคำอัครา กับชายที่ชื่อ ‘ชาตรี’

ประกายแห่งความภูมิใจจากความสามารถของคนไทย… เราต่างก็ทราบดีว่าประเทศไทยเรานั้นมีทรัพยากรล้ำค่าอยู่มากมาย เพราะดินแดนแถบนี้ในอดีตผู้คนต่างรู้จักกันในนาม “สุวรรณภูมิ” หรือ “ดินแดนแห่งทองคำ” ซึ่งหากไม่ใช่ผู้ที่มีความมุ่งมั่น มีความเชี่ยวชาญด้านการสำรวจและศึกษาโครงสร้างชั้นหินของโลกเฉกเช่นคุณชาตรี ชัยชนะพูลผล นักธรณีไทยผู้เก่งกาจคนนี้ เราอาจจะยังไม่ได้พบเจอขุมทรัพย์อันล้ำค่านี้ที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นแผ่นดินไทยจนนำมาสู่การขับเคลื่อนประเทศก็เป็นได้  

คุณชาตรี เป็นอีกหนึ่งในคนไทยยอดเก่งและเป็นบุคคลสำคัญของอัครา เพราะเป็นผู้ร่วมบุกเบิกการสำรวจและพัฒนาเหมืองแร่ทองคำคุณภาพในประเทศไทย โดยมีส่วนสำคัญในการค้นพบแหล่งสายแร่ทองคำของเหมืองแร่ทองคำชาตรีเป็นคนแรกและพัฒนาเหมืองแร่ทองคำชาตรี จนกลายเป็นเหมืองแร่ทองคำระดับโลกของไทยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยความเชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ในการมองลักษณะของชั้นหินและองค์ประกอบสภาพแวดล้อมของสายแร่ทองคำคุณภาพได้แม่นยำและเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คุณชาตรีได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ พ.ศ. 2535 

คุณชาตรี ชัยชนะพูลผล

คุณชาตรี ยืนแถวหลังคนที่ 2 นับจากซ้ายมือ

คุณชาตรี ชัยชนะพูลผล นักธรณีวิทยาชาวไทยผู้มากความสามารถและได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจแร่ทองคำ แต่เดิมมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยความรักในวิชาชีพธรณีวิทยาจึงได้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพที่บริษัทเอกชนชื่อ บริษัท ไทยโกลด์ฟิวด์ จำกัด  ก่อนจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับครอบครัวอัครา ไมนิ่ง จำกัด (ชื่อเดิมของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)) และด้วยวิสัยทัศน์กว้างไกล ร่วมกับความมุ่งมั่นในการค้นหาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อพัฒนาประเทศไทยของเรา คุณชาตรีได้อุทิศตนในการสำรวจแร่ธาตุต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย และในที่สุดความพยายามก็สัมฤทธิ์ผล 

จากคำบอกเล่าของคุณจำรัส แสงศรีจันทร์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสำรวจ กล่าวถึงคุณชาตรีว่าในตอนนั้นเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมงานที่ร่วมกันทำการค้นหาสายแร่ทองคำในประเทศไทย 

“ในช่วงใหม่ ๆ ตระเวนทั่วประเทศไทย ไปดูแหล่งต่าง ๆ ว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง 
ถ้าที่ไหนน่าสนใจก็จะกลับไปติดตามผลการสำรวจอีกครั้ง
โดยขั้นตอนจะมีการสำรวจทางธรณีวิทยาและธรณีเคมี 
ซึ่งมีผม คุณชาตรีและคุณสุรพล คอยจัดทำเป็นแผนที่บันทึกข้อมูลทางธรณีวิทยา
ว่าบริเวณนั้นคือหินอะไร พบแร่อะไรบ้าง 
และด้วยความโชคดีวันที่ 26 มีนาคม 2533 เราได้ค้นพบเกล็ดแร่ทองคำเล็ก ๆ
ที่อยู่ในสายแร่ควอตซ์จากการขุดร่องสำรวจ จำนวน 13 แนวบริเวณเขาหม้อ
ซึ่งปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นบ่อเหมืองที่เรียกกันว่า “บ่อ A” ของเหมืองแร่ทองคำชาตรี”

จากการค้นพบสายแร่ทองคำคุณภาพ บริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ในครั้งนั้น เพื่อให้เกียรติแด่คุณชาตรีทางบริษัทอัคราจึงตั้งชื่อเหมืองว่า “เหมืองแร่ทองคำชาตรี” เหมืองแร่ทองคำแห่งแรกของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) 

ผู้ร่วมบุกเบิกเหมืองแร่ทองคำชาตรีสู่เหมืองทองคำมาตรฐานโลก

และแม้ในตอนนั้นคุณชาตรีและทุกคนจะค้นพบสายแร่ทองคำคุณภาพแห่งแรกของประเทศไทยแล้ว แต่การเริ่มต้นทำเหมืองก็ยังเป็นความกังวลของผู้คนในยุคนั้น คุณสุรชาติ หมุนสมัย รุ่นน้องผู้ร่วมงานของคุณชาตรีได้กล่าวว่า 

ในสมัยนั้นมันค่อนข้างยากที่จะอธิบายให้ทุกคนทราบถึงผลลัพธ์ของการมีเหมือง 
เนื่องจากข้อมูลข่าวสารในตอนนั้นมันหาได้ยาก ไม่เหมือนสมัยนี้ที่สามารถค้นหาผ่านอินเทอร์เน็ตได้ว่า
แทบจะมีผลกระทบน้อยมากในการสร้างเหมือง และพี่ชาตรีก็เคยพูดกับผม 
‘วันหนึ่ง พวกเขาจะเข้าใจเองว่า พวกเรากำลังทำอะไรให้เขาอยู่’ ปัจจุบันสิ่งที่พี่ชาตรีเคยบอกไว้ ก็ไม่เกินจริง… ”  

เส้นทางจากเหมืองทองชาตรีสู่ชุมชน การเติบโตของเหมืองที่ก้าวไปพร้อมชุมชน

คุณชาตรีไม่เพียงแต่เป็นนักธรณีวิทยาที่ค้นพบสายแร่ทองคำคุณภาพ จนกลายมาเป็นเหมืองทองของคนไทยที่ปลอดภัยและยั่งยืนระดับโลกในทุกวันนี้เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับ “ชุมชน” โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนควบคู่ไปกับการทำเหมือง

“ชาตรีเป็นคนแรกเลยที่เข้ามาหายาย จะทำอะไรแค่เอ่ยปากเขาพร้อมจะช่วยทุกอย่าง นอกจากเขาไม่รู้ 
ขออะไรเขาก็ให้ มีอะไรเขาก็เข้ามาปรึกษา อย่างประปาเนี่ยเขาก็ว่า ‘มันไม่ดียังไง เดี๋ยวผมเอาช่างมาดูให้’ 
ต้องขอบคุณคุณชาตรีและคุณแม่ของชาตรีด้วยนะคะ” 

นางแพง และสมพร ฉิมพลี ร้านค้าของชำ ชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียงเหมืองแร่ทองคำชาตรี 

“คุณพ่อผมเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 รู้จักกับคุณชาตรี เขามาบอกว่าจะมีการสำรวจแร่ทองคำ 
ตอนนั้นที่รู้ว่าพบเจอสายแร่ทองคำไม่ได้ตกใจ แต่แปลกใจมากกว่าที่ว่าประเทศเรามีทองคำด้วยหรือ… 
และแทบจำไม่ได้เลย แถวนี้ไม่มีบ้านหรอกมีแต่ทุ่งนา ต้องขอบคุณคุณชาตรีมากเลยที่ได้ค้นพบแหล่งแร่ทองคำ 
ทำให้คนทั่วโลกรู้ว่าประเทศไทยเรามีแหล่งแร่ทองคำ และก็สร้างรายได้ สร้างสาธารณูปโภคในชุมชน” 

นายศิวกร ช่วยค้ำชู ร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียงเหมืองแร่ทองคำชาตรี 

“ในอดีตคุณพ่อเคยทำงานที่เหมืองค่ะ ขับรถยักษ์ หนูเป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่ได้ทุนจากเหมือง ณ ตอนนั้น ที่จริงตอนนั้นหนูคิดว่าจะไม่เรียนต่อแล้ว เพราะว่าค่าเทอมหนูไม่ได้ให้พ่อแม่มายุ่งค่ะ หนูตั้งใจที่จะเรียนเอง แล้วก็บอกเขาว่าเหมืองได้ให้ทุนหนู… หนูขอขอบคุณคุณชาตรีที่มาเจอพื้นที่นี้ และทำให้เกิดการพัฒนามากมายในชุมชน 
ส่วนตัวหนูเอง ถ้าไม่มีเหมือง หนูก็คงไม่ได้รับการศึกษาเทียบเท่ากับคนอื่น ๆ ในสังคม” 

น.ส. พร้อมพรรณ ขุนทอง เจ้าหน้าที่ชุมชนสัมพันธ์และการพัฒนา 
หนึ่งในชาวบ้านที่อยู่ใกล้เหมืองที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาและทำงานกับเหมืองแร่ทองคำชาตรี

อัครา… สานต่อเจตนารมณ์เพื่อความยั่งยืน จากเหมืองแร่ทองคำชาตรีในวันนั้นสู่เหมืองทองคำอัคราในวันนี้ เราภาคภูมิใจที่ได้สานต่อเจตนารมณ์ของคุณชาตรี ในการดำเนินธุรกิจเหมืองแร่ทองคำอย่างมีความรับผิดชอบ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติและชุมชนโดยรอบ

เหมืองแร่ทองคำชาตรี (Chatree Gold Mine) ทองคำ… จากผืนดินไทย 
สู่ความภาคภูมิใจของคนไทย ด้วยวิสัยทัศน์ของนักธรณีไทย ‘คุณชาตรี ชัยชนะพูลผล’
นักธรณีวิทยาผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและเป็นบุคคลต้นแบบแห่งวงการธรณีวิทยาไทย