Search

BLOG

HOME > Knowledge Blog

“การวัดค่าดิน” กุญแจสำคัญ…สู่การพัฒนาเกษตรกรรมรอบเหมืองทองอัคราอย่างยั่งยืน

พาไปค้นพบความสำคัญของดิน ทรัพยากรล้ำค่ารอบเหมืองทองอัครา พร้อมเรียนรู้การวัดค่า Ph ดินที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก การฟื้นฟูดินเพื่อเกษตรกรรมและความอุดมสมบูรณ์ของดินที่ยั่งยืน
“การวัดค่าดิน” กุญแจสำคัญ…สู่การพัฒนาเกษตรกรรมรอบเหมืองทองอัคราอย่างยั่งยืน

หากกล่าวถึงทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นรากฐานของระบบนิเวศ “ดิน” คือองค์ประกอบสำคัญที่เชื่อมโยงกับทุกการดำรงชีวิตบนโลก ตั้งแต่รับหน้าที่ให้พืชพันธุ์ได้หยั่งรากลึก เติบโตและยืนต้นได้อย่างมั่นคงแข็งแรง จนต่อยอดเป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์ ไปจนถึงจุลินทรีย์ตัวจิ๋วที่ช่วยรักษาสมดุลของธรรมชาติ หากดินขาดความอุดมสมบูรณ์และสมดุลทางชีวภาพ วงจรของธรรมชาติย่อมได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ “การตรวจวัดค่าดิน” กลายเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในพื้นที่รอบเหมืองทองอัคราซึ่งแม้จะมีภาพจำจากการขุดแร่ล้ำค่าใต้ผืนดิน แต่เบื้องหลังคือความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูและดูแลคุณภาพดิน เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรมและชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน 

เพื่อให้ได้คำตอบที่เข้าใจง่ายว่าการตรวจวัดค่าดินสำคัญอย่างไร? และจะมีวิธีใดในการฟื้นฟูดินให้กลับมาเพาะปลูกได้อีกครั้ง วันนี้เราจึงชวน คุณภูริวิทย์ สังข์ศิริ หรือ Master K นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาของอัครา มาร่วมไขคำตอบไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้!

“การวัดค่าดิน” สำคัญต่อการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างไร ? 

การวัดค่าดิน คือกระบวนการตรวจสอบคุณภาพของดินในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจถึงลักษณะและคุณภาพของดินนั้น ๆ โดยการวัดค่าดินมักครอบคลุมถึงการตรวจสอบค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ปริมาณธาตุอาหารหลัก เช่น ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) รวมไปถึงการวัดระดับอินทรียวัตถุ โครงสร้างดิน และความสามารถในการอุ้มหรือระบายน้ำอย่างเหมาะสม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนการเพาะปลูกในแต่ละพื้นที่

เมื่อเกษตรกรรู้จักและเข้าใจคุณสมบัติของดินที่ตนเองมี ก็จะสามารถเลือกปลูกพืชได้อย่างเหมาะสม ตัดสินใจได้ว่าควรปรับปรุงดินด้วยวิธีใด ใช้ปุ๋ยชนิดไหน หรือจัดการน้ำอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มคุณภาพและปริมาณของผลผลิตได้อย่างเห็นผล อีกทั้งยังช่วยป้องกันปัญหาดินเสื่อมโทรมในระยะยาว

ดินมีกี่ประเภท? เจาะลึกคุณสมบัติของดินแต่ละชนิดที่ควรรู้

ดิน คือวัสดุทั้งอินทรีย์และอนินทรีย์ที่อยู่บนพื้นผิวโลก ทำหน้าที่เป็นแหล่งรองรับการเจริญเติบโตของพืช โดยมีองค์ประกอบและโครงสร้างที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละพื้นที่  ซึ่งดินในประเทศไทยมีจำแนกตามระบบอนุกรมวิธานดินออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่ อันดับ (order), อันดับย่อย (suborder), กลุ่มดินใหญ่ (great group), กลุ่มดินย่อย (subgroup), วงศ์ (family) และชุดดิน (series) โดยหน่วยจำแนกที่เล็กที่สุดในระบบนี้คือ “ชุดดิน” 

ดินมีกี่ประเภท? เจาะลึกคุณสมบัติของดินแต่ละชนิดที่ควรรู้

ในปัจจุบันมีชุดดินที่เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนดินที่พบในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทยมากกว่า 200 ชุดดิน ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและธาตุอาหารในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การจำแนกลักษณะของดินโดยทั่วไปจะพิจารณาจากสี เนื้อดิน โครงสร้าง ความเป็นกรด-ด่าง และความลึกของดิน โดยเฉพาะเนื้อดิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเพาะปลูก โดยสามารถแบ่งประเภทของดินตามลักษณะเนื้อดินได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้

  1. ดินเหนียว คือดินที่มีเนื้อละเอียดมาก เมื่อแห้งจะจับตัวกันแข็ง แต่เมื่อเปียกน้ำจะมีความยืดหยุ่น สามารถขึ้นเป็นรูปต่าง ๆ ได้ จุดเด่นคือสามารถอุ้มน้ำได้ดี แต่การระบายน้ำและถ่ายเทอากาศค่อนข้างต่ำ จึงเหมาะกับพืชที่ต้องการน้ำมากอย่าง ข้าว พืชน้ำต่าง ๆ และผักสวนครัวบางชนิด เช่น บัว ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว หรือฟักทอง เป็นต้น
  2. ดินร่วน คือดินที่มีเนื้อละเอียดปานกลาง สามารถระบายน้ำได้ดีและอุ้มน้ำได้พอเหมาะ นอกจากนี้ ยังเป็นดินที่เอื้อต่อการหายใจของรากพืช จึงเหมาะสำหรับการเพาะปลูกพืชมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพืชไร่ ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ดอก หรือไม้ประดับ รวมถึงพืชผักสวนครัว เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ฟักทอง หรือมันสำปะหลัง เป็นต้น
  3. ดินทราย คือดินที่มีลักษณะเป็นเม็ดดินหยาบ ไม่เกาะตัว ระบายน้ำและอากาศได้ดีมาก แต่อุ้มน้ำได้น้อย จึงถือว่าเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เหมาะกับพืชที่ทนแล้งหรือต้องการน้ำน้อย เช่น มันสำปะหลัง กระถิน ทองหลาง หรือผักบางชนิดที่เติบโตเร็ว เช่น คะน้า ผักกาดหอม แตงกวา มะเขือเทศ หรือมะระ เป็นต้น

ดินที่ดีต่อการเกษตรเป็นอย่างไร ?

ดินที่ดีในทางการเกษตร คือดินที่เหมาะสมต่อการปลูกพืช มีปริมาณน้ำและแร่ธาตุอาหารที่พอเพียงต่อการเจริญเติบโต เพื่อให้ผลผลิต สามารถปลูกพืชได้โดยใช้วิธีการจัดการดูแลตามปกติธรรมดาที่ไม่ยุ่งยาก สังเกตได้จากหน้าดินจะมีสีคล้ำหนา เพราะมีอินทรีย์วัตถุมากและมีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชสูง เนื้อดินร่วนซุย มีค่า pH ดินเป็นกลางอยู่ที่ 5.5 – 7.0 ไม่เป็นกรดหรือด่างจนเกินไป และไม่มีชั้นดานหรือชั้นหินที่ขัดขวางการเจริญเติบโตของรากพืชอยู่ในระดับตื้น

ดินไม่ดี… แก้ไขได้ แนวทางฟื้นฟูเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืนรอบเหมืองทองอัครา

นิยามของดินไม่ดี หมายถึงดินที่มีการปนเปื้อนหรือดินที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย ในธรรมชาติโดยส่วนใหญ่ ดินไม่ดีมักเกิดจากวัตถุต้นกำเนิดดินมีองค์ประกอบที่ไม่เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ หรือมีสมบัติทางกายภาพและเคมีที่ไม่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก ดินประเภทนี้จึงเป็นดินที่มีปัญหาทางด้านการเกษตร ทำให้พืชไม่สามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตตามปกติได้ อย่างไรก็ตาม จากการวัดค่าดินในแปลงนาของเกษตรกรและพื้นที่โดยรอบเหมืองทอง พบว่าดินมีลักษณะเป็นดินเปรี้ยว หรือเป็นกรดจัด ซึ่งถือเป็นดินที่มีปัญหา ไม่เหมาะสำหรับการปลูกพืช โดยปัญหานี้ได้รับการตรวจพบตั้งแต่ขั้นตอนการสำรวจและเก็บข้อมูลพื้นฐานของพื้นที่โดยรอบก่อนเริ่มดำเนินการทำเหมือง

ดินไม่ดี... แก้ไขได้ แนวทางฟื้นฟูเพื่อการเกษตร

เมื่อสามารถตั้งข้อสังเกตต่อปัญหาและได้รับคำปรึกษาจากเกษตรกรในพื้นที่ ทางเหมืองทองอัคราจึงได้มีการบูรณาการความรู้ร่วมกับเกษตรกรและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผ่านการดำเนินโครงการคลินิกเกษตรเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเกษตร โดยเฉพาะปัญหาดินรอบพื้นที่โครงการ พร้อมช่วยให้เกษตรกรได้รับการแก้ปัญหาอย่างตรงจุดและถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมถึงให้การสนับสนุนโดโลไมท์ ธาตุอาหารเสริมจากธรรมชาติ และการปลูกปอเทืองเพื่อเป็นปุ๋ยพืชสด เนื่องจากเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีไนโตรเจนสูงช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ดิน ซึ่งเป็นวิธีการเพื่อปรับปรุงดินเปรี้ยวจัด ร่วมกับสถานีพัฒนาที่ดินพิจิตร โดยเกษตรกรไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 

การตรวจวัดค่าความอุดมสมบูรณ์ของดิน

นอกจากนี้ ยังมีการตรวจวัดค่าความอุดมสมบูรณ์ของดินในพื้นที่บริเวณโดยรอบเหมืองอย่างละเอียด โดยจะมีการตรวจวิเคราะห์ค่าดินปีละ 2 ครั้ง คือก่อนฤดูกาลทำนา และหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวในพื้นที่ทำนาปี รวมถึงมีการตรวจวัดค่าการปนเปื้อนของโลหะหนักในดินปีละครั้ง ทั้งในพื้นที่โครงการและพื้นที่รอบนอก ตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA (Environmental Impact Assessment) พร้อมถ่ายทอดภูมิความรู้เบื้องต้นให้กับเกษตรกรเกี่ยวกับวิธีการตรวจวัดค่าความอุดมสมบูรณ์ของดิน ด้วยชุดทดสอบธาตุอาหารหลัก (N-P-K) และการตรวจค่า pH ดิน ผ่านการใช้กระดาษลิตมัสหรือเครื่องวัดดิจิทัลที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง รวมถึงการเลือกประเภทปุ๋ยให้ตรงกับความต้องการของพืชเพื่อลดต้นทุนทางการเกษตร และเพื่อให้สามารถนำผลไปใช้ประโยชน์ในการดูแลและปรับปรุงดินได้อย่างเหมาะสม ซึ่ง Master K จะพาไปชมกระบวนการถึงพื้นที่จริง

เมื่อมีการตรวจวัดค่าดินอย่างสม่ำเสมอ และแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ที่ถูกต้อง ก็จะสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าเดิม การวัดค่าดินจึงไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขทางวิชาการ แต่เป็น “จุดเริ่มต้น” ของเกษตรกรรมที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในเขตพื้นที่รอบเหมืองทองอัครา ที่มีความตั้งใจจริงในการส่งเสริมการฟื้นฟูดินและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนท้องถิ่นผ่านโครงการคลินิกเกษตร ซึ่งสนับสนุนทั้งเครื่องมือในการตรวจวัดดิน ความรู้ทางวิชาการ และการลงมือปฏิบัติร่วมกับชาวบ้าน เพื่อให้ทุกครัวเรือนสามารถฟื้นคืนผืนดินของตนเองให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง พร้อมสำหรับการทำเกษตรที่มั่นคงในระยะยาว

@2024 AKARA RESOURCES COPYRIGHTED